“พรีลูด” (Prelude) หนึ่งในรถรุ่นที่ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของสร้างชื่อเสียงและตำนานความเป็นสปอร์ตให้กับรถยนต์แบรนด์ “ฮอนด้า” แม้ว่าในปัจจุบัน ฮอนด้า จะยุติสายการผลิต พรีลูด ไปแล้วเป็นเวลานานนับ 10 ปี แต่ชื่อเสียงและรูปทรง ยังคงความขลังและมีมนต์เสน่ห์ ดึงดูดใจให้ผู้คนอยากเป็นเจ้าของและเหลียงมองตามหลัง เรามาดูอดีตของรถที่ได้ชื่อว่า เป็นตำนานของรถสปอร์ตคูเป้ อันดับ 1 ของค่ายฮอนด้ากัน

เจนเนอเรชั่น 1 (ค.ศ.1978-1982)
เริ่มต้นขึ้นในปี 1978 โดยได้รับแรงบัลดาลใจมาจากรถสปอร์ตระดับตำนาน “เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอล” ถือเป็นโปรดักซ์ตัวหลักอันดับที่ 3 ต่อจาก ซีวิค และแอคคอร์ดที่ทำตลาดอยู่ในเวลานั้น สำหรับพรีลูดเจนฯ 1 รูปทรงโดยรวมเป็นแนวเดียวกับทั้งสองรุ่นที่เอ่ยมา และมีจุดเด่นอยู่ที่ หลังคาแก้ว บานใหญ่ ซึ่งสร้างความแตกต่างจากรถสปอร์ตอื่นๆ ของยุค70
พรีลูด ได้รับการบรรจุหัวใจด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1751 ซีซี SOHC CVCC 4 สูบแถวเรียง ให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 127 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แต่กำลังสูงสุดจะเหลือเพียง 68 แรงม้า ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีดที่เรียกว่า ฮอนด้าเมติก (Hondamatic) ต่อมาในปี 1980 เกียร์อัตโนมัติถูกเปลี่ยนมาเป็นแบบ 3 สปีด ตามสมัยนิยม
ช่วงล่างเป็นแบบอิสระ ทั้งด้านหน้าและหลัง ส่วนสมรรถนะ มีการจับเวลาควอเตอร์ไมล์(0-402 เมตร)ของเจนเนอเรชั่นนี้โดยทีมงานของนิตยสารฉบับหนึ่งในต่างประเทศ ระบุตัวเลข 18.8 วินาที ถือว่าดีเยี่ยมในช่วงเวลานั้น
สำหรับการทำตลาดจะเคียงคู่มากับคู่แข่งอย่าง โตโยต้า เซลิก้า และนิสสัน ซิลเวีย

เจนเนอเรชั่น 2 (ค.ศ. 1983-1987)
พรีลูด เจนฯ 2 แม้จะแชร์โครงสร้างฐานล้อกับรุ่นแอคคอร์ด แต่ภายนอกได้รับการปรับปรุงใหม่หมด รูปทรงลู่ลมมากขึ้น, ใหญ่และแรงขึ้น ดูดีกว่าเดิมในทุกด้านเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบป๊อป-อัพ ตามกระแสนิยมของรถสปอร์ตยุคนั้น ส่วนเครื่องยนต์เปลี่ยนใหม่เป็นขนาด 1.8 ลิตร 12 วาล์ว SOHC คาร์บูเรเตอร์คู่ ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า
ขณะที่ในปี 1985 เพิ่มรุ่น “เอสไอ” เป็นเครื่องแบบหัวฉีดขนาด 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว PGM-FI ภายใต้รหัส JDM B20A ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 6300 รอบ/นาที ขณะที่รหัส EDM B20A1 จะมีกำลังเพียง 137 แรงม้า นอกจากนั้นสำหรับเวอร์ชั่นทำตลาดในยุโรป ได้รับการปรับแต่งภายนอกใหม่เล็กน้อยรวมถึงการลดน้ำหนักลงเหลือ 1,025 กิโลกรัม จากน้ำหนักปกติประมาณ 1,340 กิโลกรัม)
ส่วนระบบส่งกำลังยังคงมีให้เลือก 2 ทางเช่นเดิมคือ เกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด โดยพรีลูดเจนเนอร์เรชั่นนี้ได้รับการยกย่องจากนักทดสอบรถของอเมริกาว่าเป็นรถที่สวยและสมบูรณ์แบบรุ่นหนึ่งของฮอนด้า

เจนเนอเรชั่น 3 (ค.ศ. 1988-1991)
พรีลูด เจนเนอเรชั่นที่ 3 ได้รับการเผยโฉมอย่างเป็นทางการครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อปี 1987 และทยอยเปิดตัวในภูมิภาคต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แม้จะบอกว่าเป็น โมเดล ใหม่หมดจดแต่ทว่ารูปทรงโดยรวมเมื่อดูแล้วส่วนใหญ่จะมีความคล้ายคลึงรุ่นก่อนหน้าค่อนข้างมาก ไฟหน้ายังคงเป็นแบบป๊อป-อัพเช่นเดิม แต่จุดแตกต่างที่เด่นชัดคือ การมีระบบเลี้ยว 4 ล้อ (Four-Wheel Steering หรือ 4WS) เสริมเข้ามาในบางรุ่นเป็นครั้งแรก
โครงสร้างได้รับการขยายฐานล้อให้มีขนาดเป็น 101 นิ้ว กว้างกว่าโฉมเดิม แบ่งเป็นรุ่นย่อย รหัสต่อท้าย S และ SI ระบบช่วงล่างหน้ายังคงเป็นแบบดับเบิลวิชโบน
สำหรับเครื่องยนต์ มีให้เลือกอย่างหลากหลายส่วนที่เป็นหลัก คือ รหัส B20A3 ขนาด 2.0 SOHC 12 วาล์ว คาร์บูเรเตอร์คู่ ให้กำลังสูงสุด 104 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตัน-เมตร และ รหัส B20A5 ขนาด 2.0 DOHC หัวฉีด PGM-FI ให้กำลังสูงสุด 135 แรงม้า ขณะที่ในปี 1990 เพิ่มรหัส B21A1 ขนาด 2.1 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 145 แรงม้า ซึ่งขนาดและกำลังของแต่ละเครื่องยนต์จะไม่เท่ากันขึ้นกับประเทศที่ทำตลาด

โดยพรีลูด เจนเนอเรชั่นนี้ จะมีรุ่นพิเศษ SI States ผลิตจำนวนจำกัดและจำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งจะได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ทั้ง 4WS, ABS, limited slip differential, เบาะ พวงมาลัยและเกียร์หุ้มหนังแท้, เครื่องเสียงระบบพิเศษ, ที่ปัดน้ำฝนหลัง ขณะที่เครื่องยนต์เป็นรหัส B21A แต่เพิ่มกำลังเป็น 150 แรงม้า ซึ่งผลิตเฉพาะรุ่นพิเศษนี้เท่านั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป
เจนเนอเรชั่น 1 (ค.ศ.1978-1982)
เริ่มต้นขึ้นในปี 1978 โดยได้รับแรงบัลดาลใจมาจากรถสปอร์ตระดับตำนาน “เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอล” ถือเป็นโปรดักซ์ตัวหลักอันดับที่ 3 ต่อจาก ซีวิค และแอคคอร์ดที่ทำตลาดอยู่ในเวลานั้น สำหรับพรีลูดเจนฯ 1 รูปทรงโดยรวมเป็นแนวเดียวกับทั้งสองรุ่นที่เอ่ยมา และมีจุดเด่นอยู่ที่ หลังคาแก้ว บานใหญ่ ซึ่งสร้างความแตกต่างจากรถสปอร์ตอื่นๆ ของยุค70
พรีลูด ได้รับการบรรจุหัวใจด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1751 ซีซี SOHC CVCC 4 สูบแถวเรียง ให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 127 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แต่กำลังสูงสุดจะเหลือเพียง 68 แรงม้า ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีดที่เรียกว่า ฮอนด้าเมติก (Hondamatic) ต่อมาในปี 1980 เกียร์อัตโนมัติถูกเปลี่ยนมาเป็นแบบ 3 สปีด ตามสมัยนิยม
ช่วงล่างเป็นแบบอิสระ ทั้งด้านหน้าและหลัง ส่วนสมรรถนะ มีการจับเวลาควอเตอร์ไมล์(0-402 เมตร)ของเจนเนอเรชั่นนี้โดยทีมงานของนิตยสารฉบับหนึ่งในต่างประเทศ ระบุตัวเลข 18.8 วินาที ถือว่าดีเยี่ยมในช่วงเวลานั้น
สำหรับการทำตลาดจะเคียงคู่มากับคู่แข่งอย่าง โตโยต้า เซลิก้า และนิสสัน ซิลเวีย
เจนเนอเรชั่น 2 (ค.ศ. 1983-1987)
พรีลูด เจนฯ 2 แม้จะแชร์โครงสร้างฐานล้อกับรุ่นแอคคอร์ด แต่ภายนอกได้รับการปรับปรุงใหม่หมด รูปทรงลู่ลมมากขึ้น, ใหญ่และแรงขึ้น ดูดีกว่าเดิมในทุกด้านเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบป๊อป-อัพ ตามกระแสนิยมของรถสปอร์ตยุคนั้น ส่วนเครื่องยนต์เปลี่ยนใหม่เป็นขนาด 1.8 ลิตร 12 วาล์ว SOHC คาร์บูเรเตอร์คู่ ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า
ขณะที่ในปี 1985 เพิ่มรุ่น “เอสไอ” เป็นเครื่องแบบหัวฉีดขนาด 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว PGM-FI ภายใต้รหัส JDM B20A ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 6300 รอบ/นาที ขณะที่รหัส EDM B20A1 จะมีกำลังเพียง 137 แรงม้า นอกจากนั้นสำหรับเวอร์ชั่นทำตลาดในยุโรป ได้รับการปรับแต่งภายนอกใหม่เล็กน้อยรวมถึงการลดน้ำหนักลงเหลือ 1,025 กิโลกรัม จากน้ำหนักปกติประมาณ 1,340 กิโลกรัม)
ส่วนระบบส่งกำลังยังคงมีให้เลือก 2 ทางเช่นเดิมคือ เกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด โดยพรีลูดเจนเนอร์เรชั่นนี้ได้รับการยกย่องจากนักทดสอบรถของอเมริกาว่าเป็นรถที่สวยและสมบูรณ์แบบรุ่นหนึ่งของฮอนด้า
เจนเนอเรชั่น 3 (ค.ศ. 1988-1991)
พรีลูด เจนเนอเรชั่นที่ 3 ได้รับการเผยโฉมอย่างเป็นทางการครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อปี 1987 และทยอยเปิดตัวในภูมิภาคต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แม้จะบอกว่าเป็น โมเดล ใหม่หมดจดแต่ทว่ารูปทรงโดยรวมเมื่อดูแล้วส่วนใหญ่จะมีความคล้ายคลึงรุ่นก่อนหน้าค่อนข้างมาก ไฟหน้ายังคงเป็นแบบป๊อป-อัพเช่นเดิม แต่จุดแตกต่างที่เด่นชัดคือ การมีระบบเลี้ยว 4 ล้อ (Four-Wheel Steering หรือ 4WS) เสริมเข้ามาในบางรุ่นเป็นครั้งแรก
โครงสร้างได้รับการขยายฐานล้อให้มีขนาดเป็น 101 นิ้ว กว้างกว่าโฉมเดิม แบ่งเป็นรุ่นย่อย รหัสต่อท้าย S และ SI ระบบช่วงล่างหน้ายังคงเป็นแบบดับเบิลวิชโบน
สำหรับเครื่องยนต์ มีให้เลือกอย่างหลากหลายส่วนที่เป็นหลัก คือ รหัส B20A3 ขนาด 2.0 SOHC 12 วาล์ว คาร์บูเรเตอร์คู่ ให้กำลังสูงสุด 104 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตัน-เมตร และ รหัส B20A5 ขนาด 2.0 DOHC หัวฉีด PGM-FI ให้กำลังสูงสุด 135 แรงม้า ขณะที่ในปี 1990 เพิ่มรหัส B21A1 ขนาด 2.1 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 145 แรงม้า ซึ่งขนาดและกำลังของแต่ละเครื่องยนต์จะไม่เท่ากันขึ้นกับประเทศที่ทำตลาด
โดยพรีลูด เจนเนอเรชั่นนี้ จะมีรุ่นพิเศษ SI States ผลิตจำนวนจำกัดและจำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งจะได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ทั้ง 4WS, ABS, limited slip differential, เบาะ พวงมาลัยและเกียร์หุ้มหนังแท้, เครื่องเสียงระบบพิเศษ, ที่ปัดน้ำฝนหลัง ขณะที่เครื่องยนต์เป็นรหัส B21A แต่เพิ่มกำลังเป็น 150 แรงม้า ซึ่งผลิตเฉพาะรุ่นพิเศษนี้เท่านั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป