ทิ้งระยะจากการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมหรือไมเนอร์เชนจ์ของเอ6/เอส6 มาได้เพียงเดือนเดียว ทางด้านออดี้ก็จัดการเอาใจลูกค้าเท้าขวาหนักด้วยเวอร์ชันสุดร้อนแรงของสายพันธุ์ที่มีคำว่า RS นำหน้า และตอนนี้ถึงคราวนที่ลูกค้าของออดี้ที่ชอบสปอร์ตซีดานตัวแรงจะได้เสียเงินกันสมใจอยากสักที เมื่อออดี้จัดการส่งรหัส RS6 บนตัวถัง 4 ประตูออกมาทำตลาดควบคู่กับรุ่นสเตชันแวกอน
รถยนต์ของออดี้ที่ใช้รหัส RS ซึ่งย่อมาจากภาษาเยอรมันที่ว่า RennSport เป็นผลผลิตที่มาจากการพัฒนาของ quattro GmbH ซึ่งเป็นบริษัทลูกของออดี้ โดยบริษัทแห่งนี้รับหน้าที่อัพเกรดความแรงให้กับรถยนต์ของออดี้ให้มีสมรรถนะเหนือจากรหัส S โดยมีเอกลักษณ์อยู่กับการผลิตเฉพาะตัวถังสเตชันแวกอนหรืออวันท์เป็นหลัก และเปิดตัวรุ่นแรกกับชื่อ RS2 Avant ซึ่งในตอนนั้นเป็นการพัฒนาร่วมกับพอร์ช แล้วตามด้วย RS4 ที่ใช้พื้นฐานของ S4 ส่วนรหัส RS6 เริ่มมีขายครั้งแรกกับ S6 รุ่นที่แล้วซึ่งมีรหัสตัวถัง C5 เปิดตัวในปี 2002
สำหรับรุ่นปัจจุบัน RS6 เปิดตัวกับเวอร์ชันอวันท์ที่ใช้พื้นฐานเดียวกับ S6 รหัสตัวถัง C6 ในเดือนเมษายน 2008 และหลังจากนั้นอีก 5 เดือนก็ถึงคิวของรุ่นซีดาน ซึ่งว่ากันว่าเหตุผลที่ออดี้ต้องเพิ่มตัวถังนี้เข้ามาก็เพื่อเอาใจตลาดกลุ่มใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมอย่างสหรัฐอเมริกา และเพื่อแข่งขันกับคู่ปรับตลาดกาลอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์และบีเอ็มดับเบิลยูที่ E63AMG และ M5 มีขายทั้งซีดานและสเตชันแวกอน
ในเรื่องความสวยของรูปลักษณ์ภายนอกไม่ต้องพูดกันให้มากความเพราะว่า RS6 มาพร้อมกับการเสริมความสปอร์ตและความดุดันทั้งภายนอกและภายในชนิดที่มองแวบเดียวก็ทราบถึงความแตกต่างจากเอ6 และเอส6 รุ่นพื้นฐาน ด้วยชุดสเกิร์ตและสปอยเลอร์รอบคันที่ได้รับการออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะ
มิติตัวถังของรุ่นซีดามากับความยาว 4,938 มิลลิเมตร กว้าง 1,864 มิลลิเมตร สูง 1,442 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,847 มิลลิเมตร โดยที่ล้อแม็กจากโรงงานเป็นขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 255/40R19 แต่ถ้ายังไม่พอใจก็จ่ายเงินเพิ่มกับล้อแม็กไซส์ใหญ่ขึ้นขนาด 9.5X20 นิ้ว
ขณะที่ในห้องโดยสารเสริมความสปอร์ตกับเบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบบักเก็ตซีทของ Recaro หุ้มหนัง และผสมผสานกับการตกแต่งที่เน้นถึงความหรูหราแลแผงด้วยความปราดเปรียวได้อย่างกลมกลืนและลงตัว
สิ่งที่เหนือจากสายพันธุ์เอ6 และเอส6 คือ สิ่งที่อยู่ใต้ฝากระโปรง เพราะว่าออดี้จัดการนำเครื่องยนต์วี10 แบบไดเร็กต์อินเจ็กชันหรือ FSI ขนาด 5,000 ซีซีพร้อมเทอร์โบคู่ที่มีการปรับบูสต์เอาไว้เบาๆ 0.7 บาร์มาวางไว้ ซึ่งเครื่องยนต์บล็อกนี้ถูกรีดกำลังออกมาได้ 580 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 66.2 กก.-ม. ที่ 1,500-6,250 รอบต่อนาที
เมื่อส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบทิปทรอนิกส์ 6 จังหวะรุ่นใหม่ที่มีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพในการทำงานยิ่งขึ้น ทำให้การถ่ายทอดกำลังสู่การขับเคลื่อน 4 ล้อแบบควอตโตรมีความเร้าใจมากขึ้น ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.5 วินาที และมีความเร็วปลายถูกล้อกเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าปลดออกจะวิ่งได้ถึง 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ระบบช่วงล่างได้รับการอัพเกรดเพื่อรองรับกับม้าฝูงโต มีการเปลี่ยนชิ้นส่วน เช่น ปีกนก และแขนยึดต่างๆ เป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบา และติดตั้งระบบปรับระดับของโช้กอัพอัตโนมัติ หรือ DRC-Dynamic Ride Control มาให้ซึ่งสามารถปรับระดับความหนืดของโช้กอัพได้ 3 ระดับ โดยระบบเบรกหน้าเป็นแบบดิสก์ขนาด 390 มิลลิเมตรสำหรับด้านหน้า และ 365 มิลลิเมตรสำหรับด้านหลัง
แต่ถ้าเงินเหลือก็จ่ายเป็นค่าตัวให้กับดิสก์แบบคาร์บอนเซรามิก ด้านหน้ามีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 400 มิลลิเมตร และด้านหลังขนาด 356 มิลลิเมตร ซึ่งนอกจากประสิทธิภาพจะดีขึ้นแล้วยังมีน้ำหนักเบากว่าดิสก์เบรกที่ผลิตจากเหล็กถึง 12.2 กิโลกรัม
สำหรับการทำตลาดจะเริ่มในเยอรมนีช่วงกลางเดือนตุลาคม จากนั้นก็จะทยอยทำตลาดในภูมิภาคอื่นๆ โดยตัวถังซีดานจะเน้นไปที่สหรัฐอเมริกาเป็นหลัก และราคาตั้งเอาไว้ที่ 105,550 ยูโร หรือเกือบๆ 5.2 ล้านบาท