วันนี้ (28 ต.ค.) สองพระรองตลาดรถหรู เล็กซัส-ออดี้ เปิดศึกเก๋งเล็ก จัดงานเปิดตัวชนกันเต็มๆ ค่ายแรกส่ง IS250 ไมเนอร์เชนจ์ ชูดีไซน์เร้าใจ-ออปชันเพียบ กับ 3 รุ่นย่อยราคา 3.05-3.55 ล้านบาท ส่วนค่ายสี่ห่วงในเครือยนตรกิจ หลังจัดบ้านเรียบร้อย นำเข้าโมเดลเชนจ์ เอ4 วางเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 TFSI กดราคา 2.89 ล้านบาทสู้ ซี-คลาส ซีรีส์ 3
หลังบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำ เล็กซัส IS250 สู่ตลาดรถหรูเมืองไทย เมื่อปี พ.ศ. 2549 ล่าสุดจัดการนำเข้ารุ่นไมเนอร์เชนจ์ ที่มาพร้อมดีไชน์ L-finesse อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเลกซัส ทั้งกระจังหน้าทรงสปอร์ต ที่วางตำแหน่งต่ำลง และขยายช่องดักลมกันชนหน้า ชุดไฟหน้า HID แบบ Bi-Xenon พร้อมปรับระดับสูงต่ำอัตโนมัติ ขณะที่กระจกมองข้าง พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ส่วนไฟท้าย-กันชนหลังโฉมใหม่
ภายใน แผงคอนโซลหน้าใหม่ เครื่องเสียง Mark Levinson Surround Sound System พร้อม วิทยุ CD 6 แผ่น ลำโพงแยกชิ้น 14 ตัว (เฉพาะรุ่น Premium Package) ลายไม้ใหม่ที่ทำจากไม้จริงๆมี สีเทาและสีน้ำตาลอ่อน
เครื่องยนต์รหัส 4GR-FSE 2500 ซีซี D4 Direct Injection Dual VVT-I ให้กำลังสูงสุด212 แรงม้า ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด260 นิวตันเมตร ที่ 3,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 เกียร์ แบบ paddle-shift sequential พร้อมมาตรวัดอัจฉริยะ ที่เปลี่ยนสีได้ตามความเร็ว และรอบที่ตั้ง
ความปลอดภัยกับระบบอัจฉริยะ VDIM ( Vehicle Dynamics Integrated Management) ควบคุมระบบจัดการไดนามิคของตัวรถ ทั้งการเบรก กำลังเครื่องยนต์ และการควบคุมพวงมาลัย โดยประเมินลักษณะอาการของรถ และสั่งงานให้ทำงานสอดประสานกัน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ระบบเบรคได้รับการปรับปรุงให้มีความสามารถในการหยุดรถเพิ่มขึ้น อีก 10% ด้วยใช้ผ้าเบรคแรงเสียดทานสูง จานเบรคหลังที่เพิ่มขนาดขึ้น และหม้อลมเบรคระบบ Tandem ขนาด 10 นิ้ว พร้อมถุงลมนิรภัยคู่ (SRS Twin-chamber airbags)
เล็กซัส IS250 ใหม่มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย กับ Premium Package พร้อมหลังคามูนรูฟ ราคา3.55 ล้านบาท Premium Package 3.45 ล้านบาท และLuxury Package 3.05 ล้านบาท
ด้านบริษัท เยอรมัน มอเตอร์เวอร์ค จำกัด ในเครือยนตรกิจ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ออดี้อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ส่ง เอ4 โมเดลเชนจ์ ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ใหม่หมด การออกแบบหรูหรา ทันสมัยโฉบเฉี่ยว โดดเด่นด้วยไฟหน้าซีนอนพลัสแบบใหม่ พร้อมไฟ LED 14 ดวงขณะเดียวกันตัวรถใหญ่ขึ้น โอเวอร์แฮงค์สั้น ระยะฐานล้อยาวขึ้นเป็น2808 มม. ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.27
เครื่องยนต์ 1.8 TFSI ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้าที่ 4,500 – 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่1500-4500 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 13.51 กม. / ลิตร
ระบบช่วงล่างพัฒนาใหม่ หน้าแบบ 5 - Link ใช้วัสดุน้ำหนักเบา และให้ความแข็งแรงทนทาน ดังนั้นจึงลดแรงสั่นสะเทือนที่เข้ามาภายในห้องโดยสารได้ดี ด้านหลังเป็นแบบ Trapezoidal – link ตั้งสปริง และโช๊คอัพแยกจากกัน
นอกจากนี้ยังพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ กุญแจอัจฉริยะ intelligent key แบบบันทึกข้อมูลการใช้รถและการนำรถเข้ารับบริการ ระบบตรวจวัดและแจ้งระดับน้ำมันเครื่องแบบใหม่ โดยดูที่หน้าปัดและจอ MMI โดยไม่ต้องเปิดฝากระโปรงหน้า ขณะที่ถุงลมนิรภัยคู่หน้าปรับควบคุมการทำงานได้ตามตำแหน่งของเบาะนั่ง เนื่องจากมีเซ็นเซอร์ตรวจจับตำแหน่งเบาะคู่หน้า
กิตติ มาไพศาลสิน กรรมการบริหาร บริษัท เยอรมัน มอเตอร์เวอร์ค จำกัด เปิดเผยว่า เบื้องต้นจะนำเข้า และทำตลาด เอ4 1.8 TFSI เป็นหลัก เพราะเป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดเหมาะสมกับ สถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนราคาขาย 2.89 ล้านบาท ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ Audi AG เพื่อให้แข่งขันกับคู่แข่งที่เป็นรถผลิตในประเทศได้ ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าขาย เอ4 ใหม่ อยู่ที่ 40% ของยอดขายรถยนต์ออดี้ทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับของออดี้ทั่วโลก
หลังบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำ เล็กซัส IS250 สู่ตลาดรถหรูเมืองไทย เมื่อปี พ.ศ. 2549 ล่าสุดจัดการนำเข้ารุ่นไมเนอร์เชนจ์ ที่มาพร้อมดีไชน์ L-finesse อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเลกซัส ทั้งกระจังหน้าทรงสปอร์ต ที่วางตำแหน่งต่ำลง และขยายช่องดักลมกันชนหน้า ชุดไฟหน้า HID แบบ Bi-Xenon พร้อมปรับระดับสูงต่ำอัตโนมัติ ขณะที่กระจกมองข้าง พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ส่วนไฟท้าย-กันชนหลังโฉมใหม่
ภายใน แผงคอนโซลหน้าใหม่ เครื่องเสียง Mark Levinson Surround Sound System พร้อม วิทยุ CD 6 แผ่น ลำโพงแยกชิ้น 14 ตัว (เฉพาะรุ่น Premium Package) ลายไม้ใหม่ที่ทำจากไม้จริงๆมี สีเทาและสีน้ำตาลอ่อน
เครื่องยนต์รหัส 4GR-FSE 2500 ซีซี D4 Direct Injection Dual VVT-I ให้กำลังสูงสุด212 แรงม้า ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด260 นิวตันเมตร ที่ 3,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 เกียร์ แบบ paddle-shift sequential พร้อมมาตรวัดอัจฉริยะ ที่เปลี่ยนสีได้ตามความเร็ว และรอบที่ตั้ง
ความปลอดภัยกับระบบอัจฉริยะ VDIM ( Vehicle Dynamics Integrated Management) ควบคุมระบบจัดการไดนามิคของตัวรถ ทั้งการเบรก กำลังเครื่องยนต์ และการควบคุมพวงมาลัย โดยประเมินลักษณะอาการของรถ และสั่งงานให้ทำงานสอดประสานกัน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ระบบเบรคได้รับการปรับปรุงให้มีความสามารถในการหยุดรถเพิ่มขึ้น อีก 10% ด้วยใช้ผ้าเบรคแรงเสียดทานสูง จานเบรคหลังที่เพิ่มขนาดขึ้น และหม้อลมเบรคระบบ Tandem ขนาด 10 นิ้ว พร้อมถุงลมนิรภัยคู่ (SRS Twin-chamber airbags)
เล็กซัส IS250 ใหม่มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย กับ Premium Package พร้อมหลังคามูนรูฟ ราคา3.55 ล้านบาท Premium Package 3.45 ล้านบาท และLuxury Package 3.05 ล้านบาท
ด้านบริษัท เยอรมัน มอเตอร์เวอร์ค จำกัด ในเครือยนตรกิจ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ออดี้อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ส่ง เอ4 โมเดลเชนจ์ ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ใหม่หมด การออกแบบหรูหรา ทันสมัยโฉบเฉี่ยว โดดเด่นด้วยไฟหน้าซีนอนพลัสแบบใหม่ พร้อมไฟ LED 14 ดวงขณะเดียวกันตัวรถใหญ่ขึ้น โอเวอร์แฮงค์สั้น ระยะฐานล้อยาวขึ้นเป็น2808 มม. ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.27
เครื่องยนต์ 1.8 TFSI ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้าที่ 4,500 – 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่1500-4500 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 13.51 กม. / ลิตร
ระบบช่วงล่างพัฒนาใหม่ หน้าแบบ 5 - Link ใช้วัสดุน้ำหนักเบา และให้ความแข็งแรงทนทาน ดังนั้นจึงลดแรงสั่นสะเทือนที่เข้ามาภายในห้องโดยสารได้ดี ด้านหลังเป็นแบบ Trapezoidal – link ตั้งสปริง และโช๊คอัพแยกจากกัน
นอกจากนี้ยังพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ กุญแจอัจฉริยะ intelligent key แบบบันทึกข้อมูลการใช้รถและการนำรถเข้ารับบริการ ระบบตรวจวัดและแจ้งระดับน้ำมันเครื่องแบบใหม่ โดยดูที่หน้าปัดและจอ MMI โดยไม่ต้องเปิดฝากระโปรงหน้า ขณะที่ถุงลมนิรภัยคู่หน้าปรับควบคุมการทำงานได้ตามตำแหน่งของเบาะนั่ง เนื่องจากมีเซ็นเซอร์ตรวจจับตำแหน่งเบาะคู่หน้า
กิตติ มาไพศาลสิน กรรมการบริหาร บริษัท เยอรมัน มอเตอร์เวอร์ค จำกัด เปิดเผยว่า เบื้องต้นจะนำเข้า และทำตลาด เอ4 1.8 TFSI เป็นหลัก เพราะเป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดเหมาะสมกับ สถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนราคาขาย 2.89 ล้านบาท ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ Audi AG เพื่อให้แข่งขันกับคู่แข่งที่เป็นรถผลิตในประเทศได้ ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าขาย เอ4 ใหม่ อยู่ที่ 40% ของยอดขายรถยนต์ออดี้ทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับของออดี้ทั่วโลก
