ข่าวต่างประเทศ - เจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือจีเอ็ม และฟอร์ด มอเตอร์ส 2 บริษัทในอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐอเมริกา ต้องพบกับวิกฤตอีกครั้ง เมื่อมีข่าวรายงานว่าทั้งคู่กำลังยืนอยู่บนปากเหว และมีความเสี่ยงที่จะประสบปัญหาทางการเงินจนกระทั่งนำไปสู่การล้มละลายในที่สุด
รายงานของหนังสือพิมพ์ลอส แองเจลีสไทม์ระบุว่า จากการที่ทั้งคู่ประสบปัญหาการขาดทุนสะสมมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงยังมียอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ลดลงถึง 17% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ทำให้ถูกคาดหมายว่าอาจจะไม่สามารถยืนระยะได้ภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่ไม่มีความมั่นคงอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
นอกจากนั้นปัจจัยที่ทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในสภาพที่เสี่ยงคือ ราคาของหุ้นที่ลดต่ำลงอย่างมากในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของจีเอ็มลดลงถึง 31% ลงมาอยู่ที่ 4.76 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น ต่ำสุดนับจากเดือนมีนาคม 1950 ขณะที่ฟอร์ดก็แย่ไม่แพ้กัน มีราคาลดลงถึง 22% ลงมาอยู่ที่ 2.08 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น
จากความกังวลใจที่มีต่อเครดิต และความมั่นใจของผู้บริโภคลดต่ำลง รวมถึงปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน และปัญหาในเรื่องหนี้สิน ทำให้จีเอ็มถูกปรับระดับความน่าเชื่อถือของบริษัทลดลง ซึ่งจากการเปิดเผยของ Standard&Poor หรือเอสแอนด์พี ระบุว่า จีเอ็มได้ถูกปรับลดจากเกรด AAA มาเป็น B- และมีแนวโน้มว่าอาจจะลดลงกว่านี้อีกเพราะมีการคาดหมายว่าตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาจะมียอดขายลดลงจากปี 2007 ประมาณ 20%
ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ จีเอ็มประสบปัญหาขาดทุนไปแล้วถึง 18,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 620,000 ล้านบาท ขณะที่ฟอร์ดขาดทุน 8,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 284,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มว่าเมื่อถึงปลายปีสถานการณ์ของทั้งสองอาจจะแย่กว่านี้อีก ทั้งยังมีข่าวลือระบุอีกว่าทางจีเอ็มเตรียมวางแผนรวมกิจการกับไครสเลอร์ ผู้ผลิตรถยนต์หมายเลข 3 ของสหรัฐอเมริกา เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่มีการยืนยันถึงเรื่องนี้จากทั้ง 2 ฝ่าย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาพเป็นอยู่จะเปรียบเสมือนกับการยืนอยู่บนปากเหว แต่นักวิเคราะห์อีกส่วนกลับเชื่อว่า จีเอ็มและฟอร์ดจะไม่ล้มละลายอย่างแน่นอน เนื่องจากทั้งคู่เปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกัน และเชื่อว่าทางรัฐบาลน่าจะเข้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพราะว่าเส้นใยและเครือข่ายในการดำเนินธุรกิจรถยนต์ของทั้ง 2 ค่ายเชื่อมต่อกับธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะบรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนนับร้อยราย
รายงานของหนังสือพิมพ์ลอส แองเจลีสไทม์ระบุว่า จากการที่ทั้งคู่ประสบปัญหาการขาดทุนสะสมมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงยังมียอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ลดลงถึง 17% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ทำให้ถูกคาดหมายว่าอาจจะไม่สามารถยืนระยะได้ภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่ไม่มีความมั่นคงอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
นอกจากนั้นปัจจัยที่ทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในสภาพที่เสี่ยงคือ ราคาของหุ้นที่ลดต่ำลงอย่างมากในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของจีเอ็มลดลงถึง 31% ลงมาอยู่ที่ 4.76 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น ต่ำสุดนับจากเดือนมีนาคม 1950 ขณะที่ฟอร์ดก็แย่ไม่แพ้กัน มีราคาลดลงถึง 22% ลงมาอยู่ที่ 2.08 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น
จากความกังวลใจที่มีต่อเครดิต และความมั่นใจของผู้บริโภคลดต่ำลง รวมถึงปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน และปัญหาในเรื่องหนี้สิน ทำให้จีเอ็มถูกปรับระดับความน่าเชื่อถือของบริษัทลดลง ซึ่งจากการเปิดเผยของ Standard&Poor หรือเอสแอนด์พี ระบุว่า จีเอ็มได้ถูกปรับลดจากเกรด AAA มาเป็น B- และมีแนวโน้มว่าอาจจะลดลงกว่านี้อีกเพราะมีการคาดหมายว่าตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาจะมียอดขายลดลงจากปี 2007 ประมาณ 20%
ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ จีเอ็มประสบปัญหาขาดทุนไปแล้วถึง 18,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 620,000 ล้านบาท ขณะที่ฟอร์ดขาดทุน 8,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 284,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มว่าเมื่อถึงปลายปีสถานการณ์ของทั้งสองอาจจะแย่กว่านี้อีก ทั้งยังมีข่าวลือระบุอีกว่าทางจีเอ็มเตรียมวางแผนรวมกิจการกับไครสเลอร์ ผู้ผลิตรถยนต์หมายเลข 3 ของสหรัฐอเมริกา เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่มีการยืนยันถึงเรื่องนี้จากทั้ง 2 ฝ่าย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาพเป็นอยู่จะเปรียบเสมือนกับการยืนอยู่บนปากเหว แต่นักวิเคราะห์อีกส่วนกลับเชื่อว่า จีเอ็มและฟอร์ดจะไม่ล้มละลายอย่างแน่นอน เนื่องจากทั้งคู่เปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกัน และเชื่อว่าทางรัฐบาลน่าจะเข้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพราะว่าเส้นใยและเครือข่ายในการดำเนินธุรกิจรถยนต์ของทั้ง 2 ค่ายเชื่อมต่อกับธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะบรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนนับร้อยราย
