ถือเป็นอีกหนึ่งปีทองของ “ฮอนด้า” ในประเทศไทย ที่แม้จะเป็นค่ายรถที่มีเพียงรถยนต์นั่งในการทำตลาดล้วนๆ แต่ด้วยโปรดักต์คุณภาพ หลากหลายทางเลือก พร้อมกับการวางแผนงานชัดเจนในองค์กรประสานงานลงตัว ทั้งฝ่ายโปรดักต์ การตลาด ประชาสัมพันธ์ การขาย
ประกอบกับปีนี้ได้อานิสงค์จากภาษีแก๊สโซฮอล์ อี20 ส่งตลาดเก๋งคึกคักต่อเนื่อง ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยน หลังราคาน้ำมันพุ่งกระฉูด โดยหันมานิยมรถยนต์นั่งขนาดเล็กมากขึ้น ขณะที่แผนงานของฮอนด้าเองต้องเปิดตัวรถ 3 รุ่นในปีนี้อยู่แล้ว
โดยไตรมาสแรกประเดิมกับ “แจ๊ซ” และถัดมาไตรมาส 3 (วานนี้ 10 ก.ย.)เปิดตัว “ซิตี้” ส่วนปลายปียังมี “ซีวิค ไมเนอร์เชนจ์” รอท่าอยู่อีก เรียกว่า “ไทมิ่ง” โปรดักต์ลงตัวแป๊ะกับสถานการณ์
ดังนั้น เราจึงเห็นยอดขายดีวันดีคืน ซึ่งล่าสุดฮอนด้าก็ปรับเพิ่มเป้าขายปีนี้เป็น 85,000 คัน โตกว่า 40% เมื่อเทียบกับปี 2550 ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดก็ทะลุ 10% แน่นอน
ในงานเปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” มีโอกาสได้สนทนากับ 2 ผู้บริหารใหญ่ของบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ทั้ง เคนจิ โอตะกะ ประธาน และ พิทักษ์ พฤทธิสาริกร กรรมการบริหาร เกี่ยวกับอาวุธใหม่ล่าสุด รวมถึงสถานการณ์ตลาดและทิศทางต่างๆของค่ายรถเบอร์สามเมืองไทย
บิ๊กบอสชูโรงงานโรจนะเจ๋งระดับโลก
เริ่มจากบิ๊กบอส “เคนจิ โอตะกะ” ที่ขึ้นกล่าวเปิดงานอย่างน่าชื่นตาบานว่า ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ผลิตและจำหน่ายในไทยเป็นประเทศแรกในโลก นอกจากนี้ยังถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของฮอนด้า ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดำเนินกลยุทธ์เป็น “โรงงานแม่” นำการผลิตฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ทั่วโลก จุดนี้แสดงถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากทั่วโลกต่อทีมงานในประเทศไทยเพื่อให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีแก่โรงงานอื่นๆในประเทศอินเดีย จีนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
“โรงงานระดับโลกของฮอนด้าในประเทศไทย ปัจจุบันถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 6 ของฮอนด้า นับจากประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน แคนาดา และสหราชอาณาจักร ได้รับมอบหมายให้มีบทบาทสำคัญในการนำการผลิตฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความไว้วางใจที่ฮอนด้า มอเตอร์ มีแก่ทีมงานที่โรงงานฮอนด้าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา”
มองบวกยอดขายกระจาย
นายโอตะกะ กล่าวว่า ฮอนด้า ซิตี้ เป็นรถที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการใช้รถซีดานขนาดเล็ก มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำและประหยัดน้ำมัน ซึ่งคุณสมบัติที่เหมาะกับการใช้งานทำให้รถยนต์รุ่นนี้ครองใจลูกค้าในประเทศไทยและตลาดอื่นๆ ในอาเซียน จนสร้างมาตรฐานใหม่แก่รถยนต์ในเซกเมนต์นี้
“ถือเป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการเปิดตัว ด้วยราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นมีผลทำให้ลูกค้ามองหารถยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่ซื้อรถยนต์คันแรก หรือกำลังคิดจะซื้อรถยนต์คันที่สองก็ตาม ลูกค้าเหล่านี้ต้องการรถยนต์ขนาดซับคอมแพคท์ที่สามารถตอบสนองการใช้ชีวิต ใช้งานได้คล่องตัว ขับขี่และบำรุงรักษาง่าย มีห้องโดยสารกว้างสบาย และประหยัดน้ำมัน”
"ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์ยอดจำหน่ายในประเทศ 35,000 คันภายในหนึ่งปีหลังจากเปิดตัว ขณะที่ยอดการส่งออกรถยนต์รุ่นนี้อยู่ที่ 24,000 คัน โดยมีตลาดหลักๆ ได้แก่ ภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลางและยุโรปตะวันออก"นายโอตะกะ กล่าว
ขายดีปรับเป้ารวมเป็น 8.5 หมื่นคัน
ด้านพิทักษ์ พฤทธิสาริกร กรรมการบริหาร กล่าวถึงกิจกรรมการตลาดของ ซิตี้ ใหม่ ว่า ได้วางแผนการสื่อสารการตลาด โดยใช้ธีม “Always Ahead” หรือ “ความล้ำหน้า...สู่ชีวิตเหนือระดับ” เพื่อจะสื่อถึงความล้ำสมัยโดดเด่นของฮอนด้า ซิตี้ พร้อมกันนี้ได้นำสัญลักษณ์รูปลูกศรสีแดงมาใช้ประกอบในงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อแสดงถึงความพุ่งทะยานซึ่งเป็นเอกลักษณ์ด้านการออกแบบของซิตี้ ใหม่ โดยผ่านสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ทางสถานีโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และกิจกรรมออนไลน์บนเว็บไซต์
นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมเปิดตัวแก่ประชาชนทั่วไปภายใต้ชื่องาน “The Journey of CITY” ในระหว่างวันที่ 12-14 กันยายน ที่พารากอน ฮอลล์ เพื่อให้ลูกค้าได้ประสบการณ์พร้อมสัมผัสเทคโนโลยี และยนตรกรรมของฮอนด้า พร้อมๆ กับการได้สัมผัสกับรถฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ก่อนใคร นอกจากนี้ยังมีความบันเทิงอีกมากมายจากศิลปินชั้นนำ
พิทักษ์ ยังกล่าวอย่างมั่นใจว่า ซิตี้ใหม่ จะได้รับความนิยมสูง ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ห้องโดยสาร กว้างขวาง การขับขี่สนุกสนาน และประหยัดน้ำมัน ที่สำคัญจะทำให้ยอดขายรวมของฮอนด้าในปีนี้เพิ่มเป็น 85,000 คัน โต 40% เมื่อเทียบกับปี 2550 (ยอดขาย 58,000)
“ตอนต้นปีเราคาดว่าจะทำยอดขายได้ 70,000 คัน แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมรถ ซับคอมแพกต์ และขนาดคอมแพกต์มากขึ้น เราจึงประเมินใหม่ว่า สิ้นปีนี้น่าจะทำได้ถึง 85,000 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาดในรถยนต์นั่งกว่า 30%”
ยันไม่หนีลงทุนแม้การเมืองป่วน
ต่อข้อถามถึงสถานการณ์การเมืองที่วุ่นวายขณะนี้ พิทักษ์ มองว่า ฮอนด้าเป็นบริษัทที่เข้ามาลงทุนในไทยมานานแล้ว ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาหลายครั้ง เข้าใจวัฒนธรรมการเมืองเป็นอย่างดี และด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีความเข้มแข็ง จึงเชื่อว่าต่อไปในระยะกลางและระยะยาวทิศทางยังสดใส และยืนยันว่าไม่มีแผนยกเลิกการลงทุนใดๆในไทย
ที่สำคัญประมาณเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โรงงานแห่งที่สองในไทย ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะเริ่มเปิดสายการผลิต ทำให้เรามีกำลังผลิตมากขึ้น สามารถรองรับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี
หวั่นนโยบายอี85กระทบอีโคคาร์
นายพิทักษ์ กล่าวถึงการสนับสนุนนโยบายแก๊สโซฮอล์ อี85 ของรัฐบาลชุดนี้ว่า จริงๆ เห็นด้วยกับ อี85 ที่รัฐบาลพยายามผลักดัน เพราะถือเป็นการเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน ขณะเดียวกันการผลิตเอทานอลยังช่วยเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรซึ่งเป็นผลดีแน่นอน แต่ฮอนด้าเองยังไม่เห็นด้วยกับระยะเวลาในการนำมาใช้ที่เร็วเกินไป อันจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม
มาตรการเกี่ยวกับ อี85 ควรมีความระมัดระวัง ที่สำคัญถ้าอยากให้ภาษีพิเศษอัตราใหม่ ก็ต้องไม่ไปกระทบกับโครงสร้างภาษีเดิม ที่สำคัญอาจกระทบต่อโครงการอีโคคาร์ ที่มีบริษัทรถยนต์สนใจลงทุนถึง 6 ราย และถือเป็นเมกาโปรเจกต์ของประเทศ
“ถึงวันนี้เรามีรถที่สามารถเติม แก๊สโซฮอล์ อี20 ได้เกิน 1 แสนคันแล้ว ดังนั้นรัฐบาลควรจะสนับสนุนให้มีการใช้น้ำมัน หรือรถประเภทนี้ให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยขยับไปเป็น อี 85 ในสเต็ปต่อไป”นายพิทักษ์ กล่าว สรุป
ประกอบกับปีนี้ได้อานิสงค์จากภาษีแก๊สโซฮอล์ อี20 ส่งตลาดเก๋งคึกคักต่อเนื่อง ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยน หลังราคาน้ำมันพุ่งกระฉูด โดยหันมานิยมรถยนต์นั่งขนาดเล็กมากขึ้น ขณะที่แผนงานของฮอนด้าเองต้องเปิดตัวรถ 3 รุ่นในปีนี้อยู่แล้ว
โดยไตรมาสแรกประเดิมกับ “แจ๊ซ” และถัดมาไตรมาส 3 (วานนี้ 10 ก.ย.)เปิดตัว “ซิตี้” ส่วนปลายปียังมี “ซีวิค ไมเนอร์เชนจ์” รอท่าอยู่อีก เรียกว่า “ไทมิ่ง” โปรดักต์ลงตัวแป๊ะกับสถานการณ์
ดังนั้น เราจึงเห็นยอดขายดีวันดีคืน ซึ่งล่าสุดฮอนด้าก็ปรับเพิ่มเป้าขายปีนี้เป็น 85,000 คัน โตกว่า 40% เมื่อเทียบกับปี 2550 ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดก็ทะลุ 10% แน่นอน
ในงานเปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” มีโอกาสได้สนทนากับ 2 ผู้บริหารใหญ่ของบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ทั้ง เคนจิ โอตะกะ ประธาน และ พิทักษ์ พฤทธิสาริกร กรรมการบริหาร เกี่ยวกับอาวุธใหม่ล่าสุด รวมถึงสถานการณ์ตลาดและทิศทางต่างๆของค่ายรถเบอร์สามเมืองไทย
บิ๊กบอสชูโรงงานโรจนะเจ๋งระดับโลก
เริ่มจากบิ๊กบอส “เคนจิ โอตะกะ” ที่ขึ้นกล่าวเปิดงานอย่างน่าชื่นตาบานว่า ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ผลิตและจำหน่ายในไทยเป็นประเทศแรกในโลก นอกจากนี้ยังถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของฮอนด้า ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดำเนินกลยุทธ์เป็น “โรงงานแม่” นำการผลิตฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ทั่วโลก จุดนี้แสดงถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากทั่วโลกต่อทีมงานในประเทศไทยเพื่อให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีแก่โรงงานอื่นๆในประเทศอินเดีย จีนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
“โรงงานระดับโลกของฮอนด้าในประเทศไทย ปัจจุบันถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 6 ของฮอนด้า นับจากประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน แคนาดา และสหราชอาณาจักร ได้รับมอบหมายให้มีบทบาทสำคัญในการนำการผลิตฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความไว้วางใจที่ฮอนด้า มอเตอร์ มีแก่ทีมงานที่โรงงานฮอนด้าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา”
มองบวกยอดขายกระจาย
นายโอตะกะ กล่าวว่า ฮอนด้า ซิตี้ เป็นรถที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการใช้รถซีดานขนาดเล็ก มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำและประหยัดน้ำมัน ซึ่งคุณสมบัติที่เหมาะกับการใช้งานทำให้รถยนต์รุ่นนี้ครองใจลูกค้าในประเทศไทยและตลาดอื่นๆ ในอาเซียน จนสร้างมาตรฐานใหม่แก่รถยนต์ในเซกเมนต์นี้
“ถือเป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการเปิดตัว ด้วยราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นมีผลทำให้ลูกค้ามองหารถยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่ซื้อรถยนต์คันแรก หรือกำลังคิดจะซื้อรถยนต์คันที่สองก็ตาม ลูกค้าเหล่านี้ต้องการรถยนต์ขนาดซับคอมแพคท์ที่สามารถตอบสนองการใช้ชีวิต ใช้งานได้คล่องตัว ขับขี่และบำรุงรักษาง่าย มีห้องโดยสารกว้างสบาย และประหยัดน้ำมัน”
"ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์ยอดจำหน่ายในประเทศ 35,000 คันภายในหนึ่งปีหลังจากเปิดตัว ขณะที่ยอดการส่งออกรถยนต์รุ่นนี้อยู่ที่ 24,000 คัน โดยมีตลาดหลักๆ ได้แก่ ภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลางและยุโรปตะวันออก"นายโอตะกะ กล่าว
ขายดีปรับเป้ารวมเป็น 8.5 หมื่นคัน
ด้านพิทักษ์ พฤทธิสาริกร กรรมการบริหาร กล่าวถึงกิจกรรมการตลาดของ ซิตี้ ใหม่ ว่า ได้วางแผนการสื่อสารการตลาด โดยใช้ธีม “Always Ahead” หรือ “ความล้ำหน้า...สู่ชีวิตเหนือระดับ” เพื่อจะสื่อถึงความล้ำสมัยโดดเด่นของฮอนด้า ซิตี้ พร้อมกันนี้ได้นำสัญลักษณ์รูปลูกศรสีแดงมาใช้ประกอบในงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อแสดงถึงความพุ่งทะยานซึ่งเป็นเอกลักษณ์ด้านการออกแบบของซิตี้ ใหม่ โดยผ่านสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ทางสถานีโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และกิจกรรมออนไลน์บนเว็บไซต์
นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมเปิดตัวแก่ประชาชนทั่วไปภายใต้ชื่องาน “The Journey of CITY” ในระหว่างวันที่ 12-14 กันยายน ที่พารากอน ฮอลล์ เพื่อให้ลูกค้าได้ประสบการณ์พร้อมสัมผัสเทคโนโลยี และยนตรกรรมของฮอนด้า พร้อมๆ กับการได้สัมผัสกับรถฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ก่อนใคร นอกจากนี้ยังมีความบันเทิงอีกมากมายจากศิลปินชั้นนำ
พิทักษ์ ยังกล่าวอย่างมั่นใจว่า ซิตี้ใหม่ จะได้รับความนิยมสูง ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ห้องโดยสาร กว้างขวาง การขับขี่สนุกสนาน และประหยัดน้ำมัน ที่สำคัญจะทำให้ยอดขายรวมของฮอนด้าในปีนี้เพิ่มเป็น 85,000 คัน โต 40% เมื่อเทียบกับปี 2550 (ยอดขาย 58,000)
“ตอนต้นปีเราคาดว่าจะทำยอดขายได้ 70,000 คัน แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมรถ ซับคอมแพกต์ และขนาดคอมแพกต์มากขึ้น เราจึงประเมินใหม่ว่า สิ้นปีนี้น่าจะทำได้ถึง 85,000 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาดในรถยนต์นั่งกว่า 30%”
ยันไม่หนีลงทุนแม้การเมืองป่วน
ต่อข้อถามถึงสถานการณ์การเมืองที่วุ่นวายขณะนี้ พิทักษ์ มองว่า ฮอนด้าเป็นบริษัทที่เข้ามาลงทุนในไทยมานานแล้ว ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาหลายครั้ง เข้าใจวัฒนธรรมการเมืองเป็นอย่างดี และด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีความเข้มแข็ง จึงเชื่อว่าต่อไปในระยะกลางและระยะยาวทิศทางยังสดใส และยืนยันว่าไม่มีแผนยกเลิกการลงทุนใดๆในไทย
ที่สำคัญประมาณเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โรงงานแห่งที่สองในไทย ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะเริ่มเปิดสายการผลิต ทำให้เรามีกำลังผลิตมากขึ้น สามารถรองรับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี
หวั่นนโยบายอี85กระทบอีโคคาร์
นายพิทักษ์ กล่าวถึงการสนับสนุนนโยบายแก๊สโซฮอล์ อี85 ของรัฐบาลชุดนี้ว่า จริงๆ เห็นด้วยกับ อี85 ที่รัฐบาลพยายามผลักดัน เพราะถือเป็นการเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน ขณะเดียวกันการผลิตเอทานอลยังช่วยเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรซึ่งเป็นผลดีแน่นอน แต่ฮอนด้าเองยังไม่เห็นด้วยกับระยะเวลาในการนำมาใช้ที่เร็วเกินไป อันจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม
มาตรการเกี่ยวกับ อี85 ควรมีความระมัดระวัง ที่สำคัญถ้าอยากให้ภาษีพิเศษอัตราใหม่ ก็ต้องไม่ไปกระทบกับโครงสร้างภาษีเดิม ที่สำคัญอาจกระทบต่อโครงการอีโคคาร์ ที่มีบริษัทรถยนต์สนใจลงทุนถึง 6 ราย และถือเป็นเมกาโปรเจกต์ของประเทศ
“ถึงวันนี้เรามีรถที่สามารถเติม แก๊สโซฮอล์ อี20 ได้เกิน 1 แสนคันแล้ว ดังนั้นรัฐบาลควรจะสนับสนุนให้มีการใช้น้ำมัน หรือรถประเภทนี้ให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยขยับไปเป็น อี 85 ในสเต็ปต่อไป”นายพิทักษ์ กล่าว สรุป