ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “บ้านซูซูกิ” เผยวิกฤตน้ำมันและพิษเศรษฐกิจ พลิกโอกาสตลาดรถจักรยานยนต์แข่งดุเดือด ชี้บริษัทแม่ญี่ปุ่นทุ่มสุดตัวเตรียมเขย่าตลาดรถประหยุดน้ำมันรุ่นครอบครัว เตรียมทวงคืนมาร์เกตแชร์ใหญ่อีกรอบ ด้านยอดขายด้ามขวานไทยครึ่งปีแรกเดินตามเป้า พร้อมจับดีลเลอร์กว่า 80 แห่ง เคี่ยวให้เหลือเหลือเฉพาะที่มีศักยภาพ ปั้นเป็น “ซูเปอร์ดีลเลอร์” เร่งไต่ระดับตามเป้า 40,000 คันปิดไตรมาสสุดท้ายปีนี้
นายมนูศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บ้านซูซูกิ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ใน 14 จังหวัดภาคใต้ เปิดเผยว่า แม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจในปีนี้ทำให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายเงินสูง แต่ก็เป็นโอกาสของรถจักรยานยนต์ซูซูกิ ที่มียอดขายเติบโตท่ามกลางวิกฤตน้ำมันแพง โดยเฉพาะวิถีชีวิตของคนเมืองที่เดินทางในระยะสั้นๆ ก็หันมาใช้จักรยานยนต์แทน ขณะเดียวกับที่ภาคการเกษตรได้ผลผลิตทั้งยาง ปาล์ม กาแฟ ในราคาดี ทำให้ฐานของยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขยายตัวขึ้นมากกว่าปีก่อน
เทรนด์รถจักรยานยนต์ในปีนี้กระแสรถครอบครัวจะมาแรง ด้วยมีความทนทาน ประหยัดน้ำมัน ไม่ตามกระแส จึงทำให้สามารถจำหน่ายมือสองได้ในราคาสูง ในขณะที่รถออโตเมติก ซึ่งกินน้ำมันกว่าคาดว่ากระแสจะแผ่วลงในปีนี้ และน่าจะมีมาร์เกตแชร์ในปีนี้ไม่เกิน 30% จากที่เคยได้รับความนิยมสูงสุดเมื่อปีก่อนจนทำมาร์เกตแชร์ได้ 60% ด้วยสภาพเศรษฐกิจในปีนี้ผู้บริโภคต้องดูแลค่าใช้จ่ายให้ประหยัดและคุ้มค่ามากขึ้น
นายมนูศักดิ์ กล่าวต่อด้วยว่า จากการที่ปี 2550 ซูซูกิเสียตำแหน่งยอดขายอันดับ 2 ของประเทศ ทำให้บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นต้องการทวงคืน และเจาะตลาดกลุ่มรถจักรยานยนต์รุ่นครอบครัวที่เคยได้ประสบความสำเร็จมาแล้ว ส่วนตลาดรถยนต์ออโตเมติก ในปีนี้ซูซูกิก็ผลิตออกมาแข่งขันด้วย แม้ว่าเพื่อให้สินค้ามีความหลากหลาย โดยยอดขายส่วนใหญ่ยังเป็นของรถจักรยานยนต์มีเกียร์กว่า 70% และแบบออโตเมติกอีกกว่า 20%
“ภาพรวมของรถจักรยานยนต์ซูซูกิในประเทศไทยดีขึ้น เพราะประเทศญี่ปุ่นมีความจริงจังในการทำตลาดในภาคอื่นๆ โดยเปิดเอาต์เล็ต 30 แห่ง และเปิดบริษัทไฟแนนซ์เองเพียงครึ่งปีแรกผ่านไปได้มีการปรับยอดขายทั้งประเทศเพิ่มขึ้นจาก 80,000 คันเพิ่มเป็น 100,000 คัน ยกเว้นภาคใต้ซึ่งเราดูแลอยู่และเป็นฐานใหญ่ที่สุดของซูซูกิ โดยครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายแล้วกว่า 19,000 คัน โตขึ้นราว 25% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน โดยตั้งเป้ายอดขายทั้งหมดที่ตั้งไว้ 40,000 คัน มีมาร์เกตแชร์ 16% ของภาคใต้ และคาดว่าจะสามารถไต่ระดับได้ตามเป้าที่วางไว้” นายมนูศักดิ์กล่าวต่อและว่า
สำหรับการปรับตัวของซูซูกิในภาคใต้ เพื่อให้ยอดขายเดินหน้าตามเป้า เริ่มปรับปรุงดีลเลอร์ ซึ่งในภาคใต้มีกว่า 80 แห่ง โดยปีนี้จะไม่เน้นดีลเลอร์ใหม่ เพราะต้องคัดเลือกและใช้ทุนสูงมากขึ้น แต่บริษัทตั้งเป้าหมายให้แต่ละแห่งมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการ และดูแลลูกค้าของซูซูกิให้เต็มที่อย่างมีคุณภาพ และทุ่มเทดูแลตลาดให้แก่ซูซูกิเพื่อผลักดันให้ยอดขายเดินตามเป้าหมายอีกทางหนึ่ง ทำให้ดีลเลอร์ส่วนหนึ่งหายไปหากไม่สามารถปรับตัวเองได้ ส่วนดีลเลอร์ที่มีศักยภาพสูงก็จะผลักดันให้เป็นซูเปอร์ดีลเลอร์ ซึ่งคาดว่าจะนำร่องได้ประมาณ 10 แห่ง
“การที่ปีนี้เราคัดดีลเลอร์ที่มีศักยภาพดีพออยู่ต่อกับเรา และยกเลิกในส่วนของที่ไม่สามารถดูแลลูกค้าซูซูกิได้เต็มที่นั้น ไม่ได้มาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่เป็นเพราะกระแส เพราะถ้ากระแสแรงจะทำให้ลูกค้ามองได้มากขึ้น คนที่ซื้อไปใช้แล้วจะไม่รู้สึกด้อยค่า ที่ผ่านมาดีลเลอร์จะพึ่งการพีอาร์ของส่วนกลางโดยไม่ออกพบลูกค้าเอง ทำให้มีปัญหาเรื่องแบรนด์จึงต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ทั้งการดูแลมาร์เกตแชร์และเซอร์วิสที่จะเป็นมากกว่าการซื้อขาย เรายอมทำบางอย่างเพื่อให้เกิดใหม่ดีกว่าปล่อยให้ค่อยๆ เฟดตัวเองและตายลงในที่สุด” นายมนูศักดิ์ กล่าว และว่า สำหรับแคมเปญที่จะอัดเพื่อกระตุ้นยอดขายในศักราชนี้ ยังเน้นการเป็นเจ้าแห่งการแลกแจกแถมเพื่อให้แบ่งเบาภาระของผู้บริโภคส่วนหนึ่ง ทั้งเติมน้ำมันฟรี แจกข้าวสาร ดาวน์น้อยต่ำสุด 700 บาท/คัน ผ่อนนาน และมีส่วนลดสำหรับผู้ชำระตรงเวลา
“เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังต้องระมัดระวังในการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องการเงิน เพราะคาดว่าเงินสดที่จะฝืดและมีเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น แต่ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะสามารถมองเห็นได้หรือไม่” นายมนูศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย