ตลาดรถสปอร์ตอเมริกันขนาดกลาง หรือ Pony Car กลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะทิ้งระยะจากการที่ดอดจ์เผยโฉมรุ่นใหม่ของแชลเลนเจอร์ออกมาได้ประมาณครึ่งปี ทางด้านเชฟโรเลตตัดสินใจเผยโฉมคู่ปรับตลอดกาลของแชลเลนเจอร์ และฟอร์ด มัสแตงออกมาให้คนอเมริกันได้ยลโฉมแล้ว ซึ่ง คามาโร่ มีคิววางขายในสหรัฐอเมริกาปลายปีนี้ และจะปรากฏกายอีกครั้งในภาพยนตร์ภาคต่อของเรื่อง Transformers ในชื่อ Revenge of the fallen ร่วมกับเชฟโรเลต บีท และสปอร์ตปริศนาอีกคันที่ถูกมองว่าอาจจะเป็นต้นแบบในการพัฒนาของคอร์เว็ตต์ใหม่ในรหัส C7
รุ่นจำหน่ายจริงของ คามาโร เป็นผลผลิตมาจากต้นแบบที่เปิดตัวโดยใช้ชื่อเดียวกันนี้เมื่อปี 2006 ในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ ซึ่งการเปิดตัวออกมาในตอนนั้นทำให้ตลาด Pony Car ที่เคยดับไปแล้วในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 กลับมาคึกคักและได้รับความสนใจกันอีกครั้งหนึ่ง เพราะนอกจาก มัสแตง แล้ว อีก 2 ค่ายที่เหลือ คือ ดอดจ์ และ เชฟโรเลต ก็พร้อมใจกันประกาศคืนชีพ แชลเลนเจอร์ และคามาโร่กลับสู่ตลาดอีกครั้ง
ถ้านับกันตามเจนเนอเรชันแล้ว คามาโร่ใหม่เป็นสายพันธุ์ที่ 5 โดยสปอร์ตรุ่นนี้ถูกเปิดตัวออกมาเมื่อปี 1967 และทำตลาดอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะมีการปรับบทบาทใหม่ในช่วงทศวรรษที่ 1980 เพื่อปรับเปลี่ยนตามรูปแบบของตลาด ซึ่งนั่นทำให้คามาโรกลายสภาพจากสปอร์ตรุ่นกลางมาสู่การเป็นรถสปอร์ตรุ่นใหญ่ขึ้นและทำตลาดในระดับรองจากคอร์เว็ตต์ สุดท้ายเจนเนอเรชันที่ 4 ก็ทำตลาดจนถึงปี 2004 และก็ถูกยุบไลน์ผลิตไป
คามาโรใหม่ประเดิมตลาดด้วยตัวถังคูเป้แบบ 2+2 ที่นั่งพร้อมรายละเอียดของรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูแล้วไม่แตกต่างจากรุ่นต้นแบบมากเท่าไรนัก ส่วนรุ่นเปิดประทุนทางเชฟโรเลตยันว่ามีแน่ แต่คงต้องรออีกสักระยะ คาดว่าไม่น่าเกิน 2 ปีนับจากรุ่นคูเป้วางตลาด
ตัวรถมาพร้อมกับความยาว 4,836 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,852 มิลลิเมตร ได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถังขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นใหม่ของจีเอ็ม และมีล้อแม็กให้เลือกหลากหลายทั้งขนาด 18, 19 หรือ 20 นิ้วตามกำลังทรัพย์และความต้องการของลูกค้าในตลาด
เครื่องยนต์ยังคงคอนเซ็ปต์ตามแนวคิดของ Pony Car คือ มีทั้งเครื่องยนต์บล็อกเล็กและใหญ่ ซึ่งแบบแรกเป็นขุมพลังวี6 ทวินแคม 24 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผันและระบบไดเร็กต์อินเจ๊กชัน มีกำลังสูงสุด 300 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 37.7 กก.-ม. ที่ 5,200 รอบต่อนาที
สำหรับอีกทางเลือกเป็นเครื่องยนต์ใหญ่ บล็อก วี8 OHV ที่มีความจุถึง 6,200 ซีซี รีดกำลังออกมาใช้งานได้ 400 แรงม้า ที่ 5,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 54.5 กก.-ม. ที่ 4,500 รอบต่อนาทีในเวอร์ชัน L99 และจะขยับเป็น 422 แรงม้า และ 56.3 กก.-ม.ในเวอร์ชัน LS3
ส่วนระบบเกียร์ก็มีให้เลือกทั้งแบบธรรมดา หรืออัตโนมัติ 6 จังหวะ โดยในเวอร์ชัน L99 มีระบบ AFM-Active Fuel Management ลดจำนวนการจ่ายน้ำมันเข้าสู่กระบอกสูบจาก 8 เหลือ 4 สูบเพื่อความประหยัดน้ำมัน
ระบบช่วงล่างแม้ว่าจะใช้พื้นฐานแบบ Multi-Strut สำหรับด้านหน้า และมัลติลิงค์แบบ 4.5-Link แต่ก็มีทางเลือกของการปรับเซ็ตเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งาน ซึ่งในรุ่นย่อย LS และ LT จะเน้นการใช้งานแบบสปอร์ตพอประมาณก็จะเป็นการปรับเซ็ตในแบบ FE2 (Sport) แต่ถ้าเป็นรุ่น SS ที่เน้นสมรรถนะแบบสุดๆ ก็จะเปลี่ยนมาเป็นแบบ FE3 (Performance)
ไลน์ผลิตของคามาโรใหม่จะอยู่ที่โรงงานในเมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา และจะเริ่มวางขายปลายปีนี้ โดยมีแนวโน้มว่าน่าจะส่งออกมาขายในตลาดภูมิภาคอื่นด้วย ส่วนคู่ปรับนอกจากมัสแตง และแชลเลนเจอร์แล้ว นิสสัน 350Z ยังถือเป็นอีกรุ่นที่ถูกมองว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
รุ่นจำหน่ายจริงของ คามาโร เป็นผลผลิตมาจากต้นแบบที่เปิดตัวโดยใช้ชื่อเดียวกันนี้เมื่อปี 2006 ในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ ซึ่งการเปิดตัวออกมาในตอนนั้นทำให้ตลาด Pony Car ที่เคยดับไปแล้วในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 กลับมาคึกคักและได้รับความสนใจกันอีกครั้งหนึ่ง เพราะนอกจาก มัสแตง แล้ว อีก 2 ค่ายที่เหลือ คือ ดอดจ์ และ เชฟโรเลต ก็พร้อมใจกันประกาศคืนชีพ แชลเลนเจอร์ และคามาโร่กลับสู่ตลาดอีกครั้ง
ถ้านับกันตามเจนเนอเรชันแล้ว คามาโร่ใหม่เป็นสายพันธุ์ที่ 5 โดยสปอร์ตรุ่นนี้ถูกเปิดตัวออกมาเมื่อปี 1967 และทำตลาดอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะมีการปรับบทบาทใหม่ในช่วงทศวรรษที่ 1980 เพื่อปรับเปลี่ยนตามรูปแบบของตลาด ซึ่งนั่นทำให้คามาโรกลายสภาพจากสปอร์ตรุ่นกลางมาสู่การเป็นรถสปอร์ตรุ่นใหญ่ขึ้นและทำตลาดในระดับรองจากคอร์เว็ตต์ สุดท้ายเจนเนอเรชันที่ 4 ก็ทำตลาดจนถึงปี 2004 และก็ถูกยุบไลน์ผลิตไป
คามาโรใหม่ประเดิมตลาดด้วยตัวถังคูเป้แบบ 2+2 ที่นั่งพร้อมรายละเอียดของรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูแล้วไม่แตกต่างจากรุ่นต้นแบบมากเท่าไรนัก ส่วนรุ่นเปิดประทุนทางเชฟโรเลตยันว่ามีแน่ แต่คงต้องรออีกสักระยะ คาดว่าไม่น่าเกิน 2 ปีนับจากรุ่นคูเป้วางตลาด
ตัวรถมาพร้อมกับความยาว 4,836 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,852 มิลลิเมตร ได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถังขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นใหม่ของจีเอ็ม และมีล้อแม็กให้เลือกหลากหลายทั้งขนาด 18, 19 หรือ 20 นิ้วตามกำลังทรัพย์และความต้องการของลูกค้าในตลาด
เครื่องยนต์ยังคงคอนเซ็ปต์ตามแนวคิดของ Pony Car คือ มีทั้งเครื่องยนต์บล็อกเล็กและใหญ่ ซึ่งแบบแรกเป็นขุมพลังวี6 ทวินแคม 24 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผันและระบบไดเร็กต์อินเจ๊กชัน มีกำลังสูงสุด 300 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 37.7 กก.-ม. ที่ 5,200 รอบต่อนาที
สำหรับอีกทางเลือกเป็นเครื่องยนต์ใหญ่ บล็อก วี8 OHV ที่มีความจุถึง 6,200 ซีซี รีดกำลังออกมาใช้งานได้ 400 แรงม้า ที่ 5,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 54.5 กก.-ม. ที่ 4,500 รอบต่อนาทีในเวอร์ชัน L99 และจะขยับเป็น 422 แรงม้า และ 56.3 กก.-ม.ในเวอร์ชัน LS3
ส่วนระบบเกียร์ก็มีให้เลือกทั้งแบบธรรมดา หรืออัตโนมัติ 6 จังหวะ โดยในเวอร์ชัน L99 มีระบบ AFM-Active Fuel Management ลดจำนวนการจ่ายน้ำมันเข้าสู่กระบอกสูบจาก 8 เหลือ 4 สูบเพื่อความประหยัดน้ำมัน
ระบบช่วงล่างแม้ว่าจะใช้พื้นฐานแบบ Multi-Strut สำหรับด้านหน้า และมัลติลิงค์แบบ 4.5-Link แต่ก็มีทางเลือกของการปรับเซ็ตเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งาน ซึ่งในรุ่นย่อย LS และ LT จะเน้นการใช้งานแบบสปอร์ตพอประมาณก็จะเป็นการปรับเซ็ตในแบบ FE2 (Sport) แต่ถ้าเป็นรุ่น SS ที่เน้นสมรรถนะแบบสุดๆ ก็จะเปลี่ยนมาเป็นแบบ FE3 (Performance)
ไลน์ผลิตของคามาโรใหม่จะอยู่ที่โรงงานในเมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา และจะเริ่มวางขายปลายปีนี้ โดยมีแนวโน้มว่าน่าจะส่งออกมาขายในตลาดภูมิภาคอื่นด้วย ส่วนคู่ปรับนอกจากมัสแตง และแชลเลนเจอร์แล้ว นิสสัน 350Z ยังถือเป็นอีกรุ่นที่ถูกมองว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกัน