เป็นการปรับโฉมครั้งแรกนับจากที่ เบนท์ลีย์ ส่งเวอร์ชันซีดาน 4 ประตูของสายพันธุ์คอนติเนนตัล ลงทำตลาดโดยที่มีชื่อพ่วงท้ายว่า ฟลายอิ้ง สเปอร์ มาตั้งแต่ปี 2005 เพิ่มเสริมทัพกับรุ่นคูเป้ และเปิดประทุนในการดึงเงินออกจากบัญชีของเศรษฐีที่ชื่นชอบความหรูบนความแรง
การปรับโฉมครั้งนี้มาพร้อมความเปลี่ยนแปลงในส่วนที่สังเกตเห็นได้อย่างกันชนด้านหน้าและหลังซึ่งได้รับการออกแบบใหม่เช่นเดียวกับกระจังหน้าซึ่งถูกเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น โดยที่ขนาดตัวถังยังมีความยาวอยู่ในระดับ 5,290 มิลลิเมตร กว้าง 2,118 มิลลิเมตร (รวมกระจกมองข้าง) และระยะฐานล้อ 3,065 มิลลิเมตรเหมือนเดิม
นอกจากรุ่นธรรมดาแล้ว ครั้งนี้เบนท์ลีย์ยังเพิ่มเวอร์ชันสุดฮ็อตในชื่อสปีดเพื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้าที่อยากได้สมรรถนะอันจัดจ้านบนตัวถังซีดาน โดยทั้ง 2 รุ่นใช้เครื่องยนต์ W12 ทวินแคม 48 วาล์ว 6,000 ซีซี พร้อมเทอร์โบคู่เป็นพื้นฐาน ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาเหมือนเดิม
รุ่นธรรมดามีกำลังเท่าเดิมที่ 560 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที และ 66.2 กก.-ม. ที่ 1,600 รอบ/นาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 5.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 312 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขณะที่รุ่นสปีดได้รับการอัพเกรดสมรรถนะให้ขยับขึ้นมาเป็น 610 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 76.4 กก.-ม. ที่ 1,750 รอบ/นาที และมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 4.8 วินาที และความเร็วสูงสุด 322 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ในส่วนของระบบช่วงล่างทางเบนท์ลีย์ ยังอิงกับพื้นฐานเดิมแบบมัลติลิงก์ทั้งด้านหน้าและหลัง แต่ได้รับการปรับปรุงในเรื่องของความแข็งของสปริง โดยที่ระบบปรับระดับทั้งความหนืดและความสูงของช่วงล่างยังเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเหมือนเดิม โดยที่เบนท์ลีย์ใส่ล้อแม็กขนาด 19 นิ้วลาย 5 ก้านทรงใหม่ให้กับรุ่นธรรมดา และเพิ่มเป็น 20 นิ้วสำหรับรุ่นสปีด
ระบบเบรกของฟลายอิ้ง สเปอร์ยังเป็นดิสก์ 4 ล้อมีรูระบายความร้อน ด้านหน้ามีขนาด 405 มิลลิเมตร และด้านหลัง 335 มิลลิเมตร แต่ลูกค้าสามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อแลกกับดิสก์ที่ผลิตจากคาร์บอน/ซิลิคอน คาร์ไบด์ ด้านหน้ามีขนาด 420 มิลลิเมตร และด้านหลังมีขนาด 356 มิลลิเมตร
การทำตลาดของรุ่นไมเนอร์เชนจ์จะเริ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งในตอนนี้ทางเบนท์ลีย์ยังไม่เปิดเผยราคาออกมา แต่เชื่อว่าคงจะแพงขึ้นไม่มากนัก ใครที่สนใจก็เตรียมเงินเอาไว้แต่เนิ่นๆ