ถือเป็นการรอคอยที่ยาวนานมากสำหรับแฟนสปอร์ตเครื่องยนต์ลูกสูบสามเหลี่ยมหมุนอย่าง RX-8 เพราะมาสด้าต้องใช้เวลาถึง 5 ปีกว่าที่จะคลอดเวอร์ชันปรับโฉมออกมากระตุ้นตลาด พร้อมกับความสดใหม่รอบคันทั้งภายนอกและภายใน ขณะที่เครื่องยนต์โรตารี่ยังเป็นแบบเดิมไม่มีรุ่นเทอร์โบออกมาเรียกความอยากจากพวกเท้าขวาหนัก
RX-8 เป็นผลผลิตของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านการออกแบบจากต้นแบบรุ่น RX-EVOLV ในปี 1999 ก่อนจะกลายมาเป็นรุ่นต้นแบบของ RX-8 ในปี 2001 และกลายมาเป็นคันจริงพร้อมขายในปี 2003 โดยการเปิดตัวของรุ่นปรับโฉมมีขึ้นครั้งแรกในดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2008 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่กลายเป็นว่าสุดท้ายคนญี่ปุ่นได้สัมผัสก่อนใคร เพราะมาสด้าส่งวางขายในบ้านตัวเองแล้ว
5 ปีกับการรอคอย มาสด้าไม่ทำให้แฟนๆ ที่ชอบความเปลี่ยนแปลงผิดหวัง เพราะมีการปรับโฉมในเกือบทุกรายละเอียดรอบคันทั้งภายนอกและภายใน โดยด้านหน้ามากับกันชนหน้าลายใหม่ ส่วนไฟเลี้ยวซึ่งแต่เดิมเป็นแถบกินพื้นที่อยู่ระหว่างกันชนกับแก้มตัวถังก็ถูกถอดออก และเพื่อเพิ่มความดุดันในอีกระดับ มาสด้าจัดการเจาะช่องเป็นช่องกระจังขนาดเล็กบนแก้มตัวถัง ส่วนไฟท้ายแม้ยังใช้กรอบทรงเดิม แต่รายละเอียดข้างในเปลี่ยนใหม่ด้วยการทำเป็นดวงกลมคู่อยู่ข้างใน และกันชนท้ายออกแบบชายล่างใหม่หมดและเสริมด้วยแถบทับทิมตรงมุมทั้ง 2 ด้าน
ภายในมีการเปลี่ยนมาตรวัดรอบใหม่ เช่นเดียวกับด้านบนของแผงคอนโซลกลางที่มีการออกแบบใหม่ ขณะที่ถ้าเป็นรุ่นท้อปในรหัส Type RS จะมากับล้อแม็กขนาด 19 นิ้วจากโรงงาน และเบาะสปอร์ตจาก Recaro
ใครที่คิดว่าจะได้สัมผัสกับโรตารี่บล็อกใหม่ที่มาสด้านำมาโชว์ในโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2007 ที่ผ่านมา คงต้องผิดหวัง เพราะเครื่องยนต์ยังเป็นแบบเดิม รหัส 13B-MSP แบบ 2 โรเตอร์ๆ ละ 654 ซีซี ในรุ่น RX-8 และ Type E มีกำลังสูงสุดที่ 215 แรงม้า ที่ 7,450 รอบต่อนาที ส่วนในรุ่น Type S และ Type RS ขยับขึ้นมาเป็น 235 แรงม้า ที่ 8,200 รอบตต่อนาที ส่วนแรงบิดสูงสุดเท่ากันที่ 22.0 กก.-ม. ที่ 5,500 รอบ/นาที
สำหรับระบบเกียร์มีให้เลือกหลากหลาย ถ้าเป็นรุ่นย่อย RX-8 มีทั้งแบบธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 6 จังหวะ ส่วนรุ่น Type E มีเฉพาะอัตโนมัติ 6 จังหวะ และ Type S และ Type RS มีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ พร้อมกับเปลี่ยนอัตราทดมาเป็น 4.777 ส่วน 2 รุ่นแรกยังเหมือนเดิมถ้าเป็นเกียร์ธรรมดาอยู่ที่ 4.444 และเกียร์อัตโนมัติ 4.300
ราคาของ RX-8 ไมเนอร์เชนจ์ในญี่ปุ่นอยู่ที่ 2,600,000-3,150,000 เยน หรือ 780,000-945,000 บาท และมาสด้าตั้งเป้าขายในประเทศเอาไว้ที่ 270 คันต่อเดือน ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นแห่งแรกที่ได้เห็นหน้าค่าตาต้องรอจนถึงช่วงปลายปีนี้จึงจะเริ่มทำตลาด เพราะในช่วงเวลานี้เป็นการทำตลาดของมาสด้า 6 ใหม่ที่เพิ่งวางขายในเมืองลุงแซม