อย่างที่ทราบกันดีว่าฟอร์ดเปิดตัวรุ่นปรับโฉมหรือไมเนอร์เชนจ์ของโฟกัสมีรายละเอียดให้รับทราบกันมาตั้งแต่งานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2007 เดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ทว่าเพิ่งจะเริ่มขายกันจริงๆ ในยุโรปช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยที่มีแค่ตัวถังหลักซึ่งเป็นที่ต้องการของลูกค้าในภูมิภาคนี้อย่างแฮทช์แบ็ก 3-5 ประตู และสเตชันแวกอนเท่านั้น ส่วนตัวถังซีดานเพิ่งจะมีภาพเปิดเผยออกมาให้เห็นกัน
โฟกัสถือเป็นรถยนต์คอมแพ็กต์ในกลุ่มซี-เซ็กเมนท์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดทั่วโลก เปิดตัวรุ่นแรกในปี 1998 เพื่อทำตลาดแทนที่รุ่นเอสคอร์ต ส่วนรุ่นที่ขายอยู่ในปัจจุบันเปิดตัวในปี 2005 และเป็นสายพันธุ์ที่ 2 ซึ่งในเมืองไทยมีขายทั้งตัวถังแฮทช์แบ็กและซีดาน
ด้านรูปลักษณ์ภายนอก การปรับโฉมสำหรับรุ่น 4 ประตูไม่แตกต่างจากแฮทช์แบ็กและแวกอนที่เปิดตัวให้เห็นก่อนหน้านี้ ซึ่งไมเนอร์เชนจ์ของโฟกัสสามารถสัมผัสความแตกต่างจากรุ่นเดิมได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลงทุนออกแบบไฟหน้าใหม่ ที่ขอบด้านบนมีการเล่นระดับให้เว้าลงเพื่อความปราดเปรียว และต้องเปลี่ยนฝากระโปรงหน้าใหม่เพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงตรงส่วนนี้
ขณะที่กันชนหน้าใหม่เพิ่มความดุดันและดูสปอร์ตเพิ่มขึ้น ส่วนประตูทั้ง 4 บานมาแบบไม่มีขอบกันกระแทกเหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ และด้านท้ายคงรูปแบบไฟท้ายแบบสามเหลี่ยม แต่มีการเปลี่ยนกันชนท้ายเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้นกว่าเดิม สำหรับภายในห้องโดยสารยังยึดรูปแบบเดิมแต่เปลี่ยนวัสดุในการผลิตใหม่ โดยหันมาใช้พลาสติกที่มีความอ่อนนุ่มมากขึ้น และเสริมด้วยขอบคิ้วโครเมียมตามจุดต่างๆ เพื่อความสปอร์ต
มิติตัวถังของรุ่นซีดานมีความยาวอยู่ที่ 4,481 มิลลิเมตร กว้าง 1,893 มิลลิเมตร สูง 1,497 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อเท่าเดิม 2,640 มิลลิเมตร พร้อมความเพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทาน Cd อยู่ที่ 0.31 โดยที่ระบบกันสะเทือนไม่แตกต่างจากเดิม ด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ซึ่งให้ความมั่นใจในด้านการยึดเกาะไม่ต่างจากเพื่อนร่วมสายพันธุ์ที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกันอย่างมาสด้า 3
น่าเสียดายที่เมื่อเปรียบเทียบกับตัวถังอื่นๆ แล้ว รุ่นซีดานเหมือนกับเป็นลูกเมียน้อยเพราะว่ามีทางเลือกของเครื่องยนต์น้อยมาก และแน่นอนว่าในรุ่นใหม่นี้ก็ยังเหมือนเดิม คือเวอร์ชันตัวแรงในรหัส ST ที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ 2,500 ซีซี 225 แรงม้าถูกสงวนสิทธิ์เอาไว้สำหรับตัวถังแฮทช์แบ็ก 3 ประตู
ขณะที่รุ่นใหม่แห่งความประหยัด ECOnatics ที่เพิ่งเปิดตัวในรุ่นไมเนอร์เชนจ์เป็นครั้งแรกกับเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 1,600 ซีซีพร้อมกับการอัพเกรดชุดสปอยเลอร์รอบคันเพื่อความเพรียวลมก็มีขายเฉพาะตัวถัง 5 ประตูเท่านั้น
ดังนั้นทางเลือกของเครื่องยนต์จึงไม่แตกต่างจากเดิม คือ เริ่มกับเบนซิน 1,600 ซีซี ซึ่งมีกำลัง 100 แรงม้าสำหรับรุ่นธรรมดาและ 115 แรงม้าสำหรับรุ่นที่ติดตั้งระบบวาล์วแปรผัน Ti-VCT ตามด้วยรุ่น 1,800 ซีซี 125 แรงม้า และ 2,000 ซีซี 145 แรงม้า โดยที่รุ่นประหยัดอย่าง 1,400 ซีซี 80 แรงม้ามีขายเฉพาะตัวถังแฮทช์แบ็กและสเตชันแวกอน
สำหรับเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลในตระกูล Duratorq มีทั้ง 1,600 ซีซีซึ่งมีให้เลือก 2 ระดับความแรงเช่นกัน คือ 90 และ 109 แรงม้า ตามด้วย 1,800 ซีซี 115 แรงม้า และ 2,000 ซีซี ซึ่งถ้าจับคู่กับเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติทั่วไปจะมีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 136 แรงม้า แต่จะหล่นลงมาอยู่ที่ 110 แรงม้าเมื่อจับคู่กับเกียร์ใหม่แบบอัตโนมัติ 6 จังหวะพร้อมคลัตช์คู่ในชื่อ Powershift ส่วนทางเลือกของเกียร์แบบอื่นๆ ก็มีครบทั้งธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ รวมถึงอัตโนมัติ 4 จังหวะ
ในตอนนี้ โฟกัสใหม่เริ่มทยอยลงสู่ตลาดในยุโรปแล้ว โดยที่ในอังกฤษมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 11.945 ปอนด์ หรือ 750,000 บาท แพงขึ้นจากรุ่นเดิมประมาณ 30,000 บาท ส่วนตลาดเมืองไทยคงต้องรอติดตามกันต่อไปว่า ไมเนอร์เชนจ์ของโฟกัสจะเข้ามาเมื่อไร เพราะถ้านับตามช่วงเวลาของการทำตลาดแล้ว ไม่น่าจะเกินปลายปีนี้
โฟกัสถือเป็นรถยนต์คอมแพ็กต์ในกลุ่มซี-เซ็กเมนท์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดทั่วโลก เปิดตัวรุ่นแรกในปี 1998 เพื่อทำตลาดแทนที่รุ่นเอสคอร์ต ส่วนรุ่นที่ขายอยู่ในปัจจุบันเปิดตัวในปี 2005 และเป็นสายพันธุ์ที่ 2 ซึ่งในเมืองไทยมีขายทั้งตัวถังแฮทช์แบ็กและซีดาน
ด้านรูปลักษณ์ภายนอก การปรับโฉมสำหรับรุ่น 4 ประตูไม่แตกต่างจากแฮทช์แบ็กและแวกอนที่เปิดตัวให้เห็นก่อนหน้านี้ ซึ่งไมเนอร์เชนจ์ของโฟกัสสามารถสัมผัสความแตกต่างจากรุ่นเดิมได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลงทุนออกแบบไฟหน้าใหม่ ที่ขอบด้านบนมีการเล่นระดับให้เว้าลงเพื่อความปราดเปรียว และต้องเปลี่ยนฝากระโปรงหน้าใหม่เพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงตรงส่วนนี้
ขณะที่กันชนหน้าใหม่เพิ่มความดุดันและดูสปอร์ตเพิ่มขึ้น ส่วนประตูทั้ง 4 บานมาแบบไม่มีขอบกันกระแทกเหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ และด้านท้ายคงรูปแบบไฟท้ายแบบสามเหลี่ยม แต่มีการเปลี่ยนกันชนท้ายเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้นกว่าเดิม สำหรับภายในห้องโดยสารยังยึดรูปแบบเดิมแต่เปลี่ยนวัสดุในการผลิตใหม่ โดยหันมาใช้พลาสติกที่มีความอ่อนนุ่มมากขึ้น และเสริมด้วยขอบคิ้วโครเมียมตามจุดต่างๆ เพื่อความสปอร์ต
มิติตัวถังของรุ่นซีดานมีความยาวอยู่ที่ 4,481 มิลลิเมตร กว้าง 1,893 มิลลิเมตร สูง 1,497 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อเท่าเดิม 2,640 มิลลิเมตร พร้อมความเพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทาน Cd อยู่ที่ 0.31 โดยที่ระบบกันสะเทือนไม่แตกต่างจากเดิม ด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ซึ่งให้ความมั่นใจในด้านการยึดเกาะไม่ต่างจากเพื่อนร่วมสายพันธุ์ที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกันอย่างมาสด้า 3
น่าเสียดายที่เมื่อเปรียบเทียบกับตัวถังอื่นๆ แล้ว รุ่นซีดานเหมือนกับเป็นลูกเมียน้อยเพราะว่ามีทางเลือกของเครื่องยนต์น้อยมาก และแน่นอนว่าในรุ่นใหม่นี้ก็ยังเหมือนเดิม คือเวอร์ชันตัวแรงในรหัส ST ที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ 2,500 ซีซี 225 แรงม้าถูกสงวนสิทธิ์เอาไว้สำหรับตัวถังแฮทช์แบ็ก 3 ประตู
ขณะที่รุ่นใหม่แห่งความประหยัด ECOnatics ที่เพิ่งเปิดตัวในรุ่นไมเนอร์เชนจ์เป็นครั้งแรกกับเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 1,600 ซีซีพร้อมกับการอัพเกรดชุดสปอยเลอร์รอบคันเพื่อความเพรียวลมก็มีขายเฉพาะตัวถัง 5 ประตูเท่านั้น
ดังนั้นทางเลือกของเครื่องยนต์จึงไม่แตกต่างจากเดิม คือ เริ่มกับเบนซิน 1,600 ซีซี ซึ่งมีกำลัง 100 แรงม้าสำหรับรุ่นธรรมดาและ 115 แรงม้าสำหรับรุ่นที่ติดตั้งระบบวาล์วแปรผัน Ti-VCT ตามด้วยรุ่น 1,800 ซีซี 125 แรงม้า และ 2,000 ซีซี 145 แรงม้า โดยที่รุ่นประหยัดอย่าง 1,400 ซีซี 80 แรงม้ามีขายเฉพาะตัวถังแฮทช์แบ็กและสเตชันแวกอน
สำหรับเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลในตระกูล Duratorq มีทั้ง 1,600 ซีซีซึ่งมีให้เลือก 2 ระดับความแรงเช่นกัน คือ 90 และ 109 แรงม้า ตามด้วย 1,800 ซีซี 115 แรงม้า และ 2,000 ซีซี ซึ่งถ้าจับคู่กับเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติทั่วไปจะมีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 136 แรงม้า แต่จะหล่นลงมาอยู่ที่ 110 แรงม้าเมื่อจับคู่กับเกียร์ใหม่แบบอัตโนมัติ 6 จังหวะพร้อมคลัตช์คู่ในชื่อ Powershift ส่วนทางเลือกของเกียร์แบบอื่นๆ ก็มีครบทั้งธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ รวมถึงอัตโนมัติ 4 จังหวะ
ในตอนนี้ โฟกัสใหม่เริ่มทยอยลงสู่ตลาดในยุโรปแล้ว โดยที่ในอังกฤษมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 11.945 ปอนด์ หรือ 750,000 บาท แพงขึ้นจากรุ่นเดิมประมาณ 30,000 บาท ส่วนตลาดเมืองไทยคงต้องรอติดตามกันต่อไปว่า ไมเนอร์เชนจ์ของโฟกัสจะเข้ามาเมื่อไร เพราะถ้านับตามช่วงเวลาของการทำตลาดแล้ว ไม่น่าจะเกินปลายปีนี้