ข่าวในประเทศ - รถเล็กประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์เริ่มขยับ หลังจาก “มิตซูบิชิ-ทาทา” ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน รายแรกประกาศชัดในงานแสดงรถยนต์ปักกิ่ง ออโตโชว์ จะพัฒนารถยนต์ราคาประหยัดขายในไทย จีน และยุโรป ราคาไม่เกิน 1 ล้านเยน หรือประมาณ 3.1 แสนบาท ด้วยการใช้แพลตฟอร์มร่วมกับรถขนาด 660 ซีซี ที่ทำตลาดในญี่ปุ่น เพื่อลบจุดอ่อนให้กับรถเล็กของมิตซูบิชิในตลาดโลก ซึ่งแนวโน้มน่าจะปัดฝุ่นโครงการผลิตซิตี้ทรงกล่อง “อีเค” ในไทยใหม่ ขณะที่ค่ายทาทานำรถยนต์สองรุ่น “อินดิกา-นาโน” มาสำรวจความสนใจของผู้บริโภคไทย เพื่อหาข้อมูลสองกลุ่มเป้าหมาย ระหว่างผู้ใช้ปิกอัพแบบเก๋งที่อยู่ระดับกลางลงล่าง ว่ามีความสนใจจะซื้อรถเครื่องยนต์ 1400 ซีซี ราคาไม่เกิน 3.5 แสนบาทหรือไม่ โดยเทียบกับกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ที่ต้องการขยับมาใช้เก๋งที่มีเครื่องยนต์ 1000 ซีซี ราคาประหยัด 1.5 แสนบาท ว่ากลุ่มไหนจะมีความต้องการซื้อมากกว่ากัน? ก่อนจะนำมาพัฒนามาเป็นอีโคคาร์ต่อไป แต่งานนี้ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร อย่างน้อยเริ่มชัดแล้วว่า…อีโคคาร์ที่จะแจ้งเกิดในไทย ราคาจะอยู่ระหว่าง 1.5-3.5 แสนบาท!!
ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนให้กับบริษัทรถยนต์ ในโครงการผลิตรถยนต์นั่งประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ (Eco Car) อีกจำนวน 3 ราย ได้แก่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 4,711 ล้านบาท บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มูลค่าเงินลงทุน 4,642 ล้านบาท และบริษัท ทาทา มอเตอร์ ประเทศไทย มูลค่าเงินลงทุน 7,317 ล้านบาท
จากการอนุมัติของบีโอไอดังกล่าว ทำให้มีบริษัทรถยนต์ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในโครงการอีโคคาร์ รวมทั้งสิ้น 6 โครงการ จากเดิมที่อนุมัติไปแล้ว 3 ราย เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2550 คือ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด เงินลงทุนมูลค่า 7,588 ล้านบาท บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด เงินลงทุนมูลค่า 5,500 ล้านบาท และบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ จำกัด ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 9,500 ล้านบาท
นับจากนี้ไปโครงการอีโคคาร์ น่าจะเริ่มต้นเข้าสู่ขบวนวิจัย พัฒนา และผลิต เพื่อที่จะแนะนำสู่ตลาดตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป ถึงแม้ช่วงนี้จะยังไม่รายละเอียดของแต่ละโครงการ แต่เชื่อว่าค่ายรถต่างมีโมเดลในใจอยู่แล้ว และล่าสุดสองค่าย “มิตซูบิชิ-ทาทา” ได้เปิดเผยข้อมูลคร่าวๆ ของอีโคคาร์ที่จะผลิตในไทยออกมาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของราคาจำหน่าย ที่จะเป็นตัวตัดสินว่า... อีโคคาร์จะรุ่งหรือร่วงในตลาดไทย!!
“ขณะนี้มิตซูบิชิกำลังพัฒนารถยนต์ราคาประหยัด เพื่อแนะนำสู่ตลาดในประเทศไทยและจีน รวมถึงจำหน่ายในตลาดยุโรปด้วย ซึ่งรถยนต์รุ่นดังกล่าวน่าจะติดตั้งเครื่องยนต์ประมาณ 1000 ซีซี โดยใช้แพลตฟอร์มของรถยนต์ขนาด 660 ซีซี ที่มีทำตลาดอยู่ในประเทศญี่ปุ่น คาดว่ารถยนต์ราคาประหยัดนี้จะสามารถแนะนำสู่ตลาดได้ภายในปี 2553 ราคาไม่เกิน 1 ล้านเยน (310,000 บาท จากอัตราเฉลี่ยปัจจุบันประมาณ 31 บาท ต่อ 100 เยน)”
โอซามุ มาสุโกะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยในงานแสดงรถยนต์ปักกิ่ง ออโตโชว์ ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 22-28 เมษายนนี้ พร้อมกับกล่าวว่า ที่ผ่านมามิตซูบิชิไม่ค่อยประสบความสำเร็จในตลาดรถขนาดเล็ก เนื่องจากมีทำตลาดเฉพาะที่ญี่ปุ่นเท่านั้น แต่จุดอ่อนตรงนี้สามารถเปลี่ยนให้เป็นจุดแข็งได้ โดยการใช้แพลตฟอร์มเดียวกันผลิตป้อนตลาดโลก
ทั้งนี้หากพิจารณาจากข้อมูลที่มาสุโกะเปิดเผยออกมา รถยนต์ที่ทำตลาดในญี่ปุ่นเครื่องยนต์ขนาด 660 ซีซี ย่อมต้องเป็นซิตี้คาร์ตระกูล “อีเค” (eK) รถเล็กทรงกล่องที่มิตซูบิชิเคยมีแนวคิด จะนำมาประกอบในไทยเมื่อหลายปีก่อน แต่เมื่อเจอวิกฤตเศรษฐกิจและมิตซูบิชิประสบปัญหาผลประกอบการขาดทุน ทำให้ต้องหยุดแผนดังกล่าวไป เมื่อสถานการณ์มิตซูบิชิเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จึงเป็นไปได้ที่ซิตี้คาร์รุ่นอีเคจะถูกนำมาปัดฝุ่น และใส่เข้าไว้ในโครงการอีโคคาร์
ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน หรือต้องพัฒนาใหม่ โดยใช้พื้นฐานของรุ่นอีเค แต่ถือเป็นความชัดเจนระดับหนึ่งจากค่ายมิตซูบิชิ เกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กราคาประหยัดในไทย ซึ่งนั่นคงจะหมายถึงรถยนต์ในโครงการอีโคคาร์ ที่มิตซูบิชิได้ขอส่งเสริมการลงทุนไป ด้วยเงินลงทุนทั้งสิ้น 4,711 ล้านบาท โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะเป็นเงินลงทุนใหม่ ไม่เกี่ยวกับแผนการลงทุนที่ได้เคยประกาศไปแล้ว รวมถึงเงินลงทุนล่าสุดประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งรองรับเพียงการปรับไลน์ผลิตให้มีประสิทธิภาพ และโครงการผลิตรถยนต์นั่งอเนกประสงค์แบบพีพีวี ที่ใช้พื้นฐานจากปิกอัพรุ่นไทรทัน และมีกำหนดการจะเปิดตัวสู่ตลาดไทยประมาณปลายปีนี้
ขณะที่โครงการอีโคคาร์ของ “ทาทา” รถยนต์จากแดนภารตะประเทศอินเดีย ซึ่งมีรายงานจากบริษัท ทาทา มอเตอร์ ประเทศไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ทาทาในไทยว่า ขณะนี้ได้เตรียมสำรวจและวิจัยความต้องการของผู้บริโภคในไทย โดยได้มีการนำรถยนต์สองรุ่นมาประกอบสำรวจ เพื่อนำข้อมูลไปพัฒนาและผลิตอีโคคาร์ ซึ่งทาทาได้ขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีไอไอและได้รับอนุมัติแล้ว ด้วยวงเงินลงทุน 7,317 ล้านบาท
โดยรถยนต์ที่ทาทานำมาประกอบการสำรวจจากผู้บริโภคชาวไทย ได้แก่ รถยนต์ราคาประหยัด “ทาทา นาโน” ซึ่งเพิ่งเผยโฉมที่อินเดียไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และจะเปิดตัวจำหน่ายอย่างเป็นทางการปลายปีนี้ ในราคาประมาณ 800,000 บาท และอีกรุ่น “ทาทา อินดิกา” รถยนต์ขนาดเล็กที่มียอดขายสูงสุดในประเทศอินเดีย ซึ่งทาทาได้นำเข้ามาจัดแสดงในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2008 ที่เพิ่งจบไปเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
สาเหตุที่ทาทานำรถทั้งสองรุ่นมาประกอบการสำรวจ เนื่องจากต้องการทราบข้อมูลของสองกลุ่มเป้าหมายว่า กลุ่มไหนมีปริมาณความต้องการซื้อมากกว่ากัน ระหว่างกลุ่มที่ปัจจุบันใช้ปิกอัพมีแค็บแทนรถยนต์นั่ง หรือเก๋ง และกลุ่มที่ใช้จักรยานยนต์และต้องการจะยกระดับมาใช้รถยนต์นั่งขนาดเล็กราคาประหยัด
ทั้งนี้ทาทาได้วางแนวทางการสำรวจไว้ว่า หากอีโคคาร์เป็นแบบเดียวกับรถยนต์นั่งรุ่นอินดิกา โดยวางเครื่องยนต์ 1400 ซีซี และมีราคาไม่เกิน 350,000 บาท ผู้บริโภคชาวไทยจะให้ความสนใจมากน้อยแค่ไหน และมีปริมาณเพียงพอที่จะลงทุนผลิตหรือไม่
ขณะที่หากเป็นแบบรถยนต์รุ่นนาโน โดยจะวางเครื่องยนต์ขนาดประมาณ 1000 ซีซี จากเดิมที่ในอินเดียอยู่ที่กว่า 600 ซีซี และเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายต่างๆ เข้าไป พร้อมกับตั้งราคาจำหน่ายประมาณ 150,000 บาท ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ จะมีปริมาณความต้องการมากน้อยแค่ไหน
“เมื่อผลสำรวจออกมาจะทำให้ทาทาทราบว่า กลุ่มเป้าหมายไหนที่พร้อมจะซื้อและมีมากกว่ากัน ซึ่งอาจจะไม่ใช่เป็นรุ่นใดรุ่นหนึ่ง แต่อาจจะเป็นส่วนผสมของทั้งสองรุ่นก็ได้ อยู่ที่ความต้องการของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ส่วนราคาอีโคคาร์ของทาทาคงอยู่ระหว่าง 150,000-350,000 และน่าจะเปิดตัวได้ประมาณช่วงประมาณปี 2554”
สำหรับโรงงานประกอบอีโคคาร์ จะไม่ใช่โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ที่ใช้ผลิตปิกอัพทาทา ซีนอนในปัจจุบัน แต่จะมีการตั้งโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งขณะนี้กำลังหาสถานที่เหมาะสมหลายแห่ง และยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกนิคมอุสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
แม้จะเริ่มเผยรายละเอียดเพียงสองค่าย แต่อีโคคาร์ที่จะแจ้งเกิดในไทย ตอนนี้ก็แน่นอนแล้วว่า ราคาอีโคคาร์ไม่น่าจะเกิน 350,000 บาท ส่วนจะมีช็อก! ตลาดรถยนต์ไทย เปิดราคาออกมาไม่ถึง 200,000 บาทหรือไม่? คงต้องติดตามดูกันต่อไป...