ฟอร์ด โฟกัส ถือเป็นรถที่สร้างความประทับใจให้ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง”พอสมควร เพราะหลังการเปิดตัวตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว เรามีโอกาสลองขับอยู่เรื่อยๆทั้งรุ่น เบนซิน 1.8, 2.0 ลิตร ตัวถังซีดาน,แฮทซ์แบ็ก 5 ประตู โดยจุดเด่นจุดขายอยู่ที่การบังคับควบคุม ช่วงล่างหนึบแน่นขับสนุก รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเล็กๆน้อยๆ(ชอบแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง)หรือออปชั่นความปลอดภัยที่ใส่มาเพียบ แต่กระนั้นความดีความชอบที่ว่ามาก็เป็นคนละเรื่องกับยอดขายที่ดูจะสวนทางกัน
สำหรับยอดขายรถยนต์นั่งประเภทคอมแพ็กต์ในปีที่ผ่านมารวมทุกยี่ห้อขายได้ 56,686 คัน ในจำนวนนี้เป็นของซีวิคเกือบครึ่ง คือ 25,890 คัน ตามมาด้วย โตโยต้า อัลติส 16,650 คัน ขณะที่โฟกัส ทำได้เพียง 1,624 คัน ซึ่งยังน้อยกว่า ทั้ง นิสสัน ทีด้า(3,463) มาสด้า 3(3,204) มิตซูบิชิ แลนเซอร์ (2,071)ด้วยซ้ำ และเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ ฟอร์ด คงอยู่เฉยไม่ได้ครับ
โฟกัส ดีเซล กลายเป็นอาวุธใหม่ ที่ฟอร์ดหวังเข้ามาเสียบช่องว่างตลาด โดยรถล็อตแรกข้ามน้ำทะเลมาจาก ฟิลิปปินส์ 35 คัน ถูกจับจองหมดเกลี้ยงหลังการเปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และแม้ในขั้นแรกอาจจะยังมียอดขายไม่มาก แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดีเพื่อต่อยอดเบิกทางในอนาคต ส่วนผู้บริโภคอย่างเราๆก็จะได้รับประโยชน์เมื่อมีทางเลือกมากขึ้น
“ผู้จัดการมอเตอริ่ง”มีโอกาสได้ลอง โฟกัส ดีเซล 2.0 TDCi กับทริปที่ ฟอร์ด จัดให้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กับเส้นทางเชียงราย- กรุงเทพฯ ระยะทางกว่า 900 กิโลเมตร ซึ่งจะว่าไปเราก็ตื่นเต้นกับเจ้า โฟกัส ดีเซล ตัวนี้มากเพราะรุ่นเครื่องยนต์เบนซินนั้น ถึงแม้ภาพรวมจะเป็นคอมแพ็กคาร์ที่ขับดี แต่การตอบสนองของเครื่องยนต์อาจยังไม่สะใจนัก ดังนั้นเมื่อเป็นเครื่องยนต์ ดูราทอร์ก เทอร์โบดีเซล คอมมอนเรล 2.0 ลิตร 136 แรงม้า แรงบิดระดับ 320 นิวตันเมตร ก็น่าจะรับประกันหรือสร้างความพอใจให้พวกตีนผีบ้าพลังได้ระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกันโฟกัส ดีเซล จะมากับตัวถัง แฮทซ์แบ็ก 5 ประตู เท่านั้น(อนาคตค่อยว่ากัน) ซึ่งเรื่องรูปพรรณสัณฐานไม่ต้องพูดกันมากเพราะเห็นกันมาจนชินตาสักระยะแล้ว ส่วนใครชอบไม่ชอบก็นานาจิตตังครับ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะเป็นรุ่นเครื่องยนต์ ดีเซล แต่น้ำหนักของตัวรถยังเท่ากับตัวรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร คือ 1,362 กิโลกรัม
ภายในยังเน้นโทนสีดำสไตล์สปอร์ต พวงมาลัย 3 ก้านหุ้มหนัง ขณะที่เบาะบักเก็ตซีทหนังกึ่งผ้าในตำแหน่งผู้ขับยังโอบกระชับนั่งสบาย ขับทางยาวๆไม่มีอาการเมื่อยหลัง แต่สิ่งที่ขาดหายไปและยังงงว่าทำไมไม่มีเหมือนพี่น้องร่วมรุ่นคือช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
สำหรับทริปนี้เป็นทางยาว โดยผู้จัดเตรียมโฟกัสไว้ให้หลายรุ่นสลับกันขับ ซึ่งเราเริ่มจากการลองตัวเบนซิน 2.0 ลิตร(อีกครั้ง)ก่อน จากนั้นจึงถึงคิวของพระเอกหน้าใหม่ ดีเซล 2.0 TDCi และแน่นอนว่า ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือ อัตราเร่งนั้นต่างกันฟ้ากับเหวเลย โดยข้อมูลจากฟอร์ดบอกว่า เจ้าโฟกัส ดีเซล สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 9.6 วินาที เท่านั้น
ขุมพลัง ดูราทอร์ก TDCi ยังมากับเทอร์โบแปรฝันที่ฟอร์ดเรียกว่า Variable Nozzle Turbo (VNT)เพื่อเพิ่มพลัง พร้อมตอบสนองทันใจทุกความเร็วรอบ ซึ่งระบบนี้จะปรับการทำงานภายในท่อร่วมไอดีให้สอดคล้องกับความเร็วเครื่องและแรงดันน้ำมันในขณะนั้น ทั้งยังช่วยให้เกิดการโอเวอร์บูสต์ เรียกแรงบิดมาได้อีกหลายระลอก
จุดเด่นอีกประการของ โฟกัส ดีเซล คือ จะมีระบบจัดการเครื่องยนต์ซึ่งทำหน้าที่ร่วมกับเซ็นเซอร์เครื่องยนต์ เกียร์ และระบบบังคับเลี้ยว เพื่อปรับแต่งจังหวะจุดระเบิดล่าสุด ให้เครื่องยนต์เดินเรียบนุ่มนวล ลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและไอเสีย ทั้งนี้เพื่อความแม่นยำในการสั่งการยังใช้คันเร่งไฟฟ้า(drive-by-wire)ควบคุมอัตราเร่งอีกด้วย
ขณะเดียวกันการส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดาอัตราทดชิด 6 สปีด ถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์สู่ล้อหน้าอย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่วนการสับโยกเปลี่ยนเกียร์ทำได้ราบรื่นคล่องมือ แต่จะว่าไปด้วยความแรงของเครื่องยนต์ และการขับทางยาวๆในทริปนี้ เราลองแช่อยู่ที่เกียร์ 6 ก็สามารถเร่งแซงหรือเรียกความเร็วได้อย่างสบายๆ ด้านการบังคับควบคุมผ่านพวงมาลัยยังทำได้ดีเหมือนเดิม ช่วงล่างอิสระสี่ล้อยังเฟิร์มแน่นขับสนุก ทรงตัวเป็นเยี่ยม มั่นใจทุกโค้งและสภาพผิวถนน
อย่างไรก็ตามในช่วงความเร็วคงที่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่เกียร์ 6 เราเหลือบมองเห็นรอบเครื่องยนต์แตะอยู่แถว 2100 รอบเท่านั้น ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันสำหรับการขับในเมือง(ช่วงกลางวัน) และมีโอกาสได้ยิงยาวๆซัดคันเร่งหนักๆบ้าง(ตอนกลางคืน) ตัวเลขตามมาตรวัดระบุอยู่ที่ 7 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือประมาณ 14.2 กิโลเมตร/ลิตร ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ฟอร์ดเคลมไว้ 17.8 กิโลเมตร/ลิตร ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ฟอร์ดยังกระซิบว่า โฟกัส 2.0 TDCi สามารถเติมน้ำมันดีเซล B5 ได้อีกด้วย
รวบรัดตัดความ...ในยุคน้ำมันดีเซลพุ่งทะยานเกิน 30 บาท/ลิตร ฟอร์ดยังใจดีหาผลิตภัณฑ์มารองรับ โดยตั้งราคา โฟกัส 2.0 TDCi ไว้ 1.055 ล้านบาท (รุ่นเครื่องยนต์เบนซินตัวท็อป 9.89 แสนบาท) กับจุดเด่นของเทคโนโลยีเทอร์โบ ดีเซล คอมมอนเรล อันทรงพลัง พร้อมเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ที่สนองต่อแรงบิดระดับ 320 นิวตันเมตรได้อย่างฉับไว ขณะเดียวกันตัวเลขบริโภคน้ำมันที่ออกมาก็อยู่ในระดับจิบๆเท่านั้น...ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียวครับ
สำหรับยอดขายรถยนต์นั่งประเภทคอมแพ็กต์ในปีที่ผ่านมารวมทุกยี่ห้อขายได้ 56,686 คัน ในจำนวนนี้เป็นของซีวิคเกือบครึ่ง คือ 25,890 คัน ตามมาด้วย โตโยต้า อัลติส 16,650 คัน ขณะที่โฟกัส ทำได้เพียง 1,624 คัน ซึ่งยังน้อยกว่า ทั้ง นิสสัน ทีด้า(3,463) มาสด้า 3(3,204) มิตซูบิชิ แลนเซอร์ (2,071)ด้วยซ้ำ และเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ ฟอร์ด คงอยู่เฉยไม่ได้ครับ
โฟกัส ดีเซล กลายเป็นอาวุธใหม่ ที่ฟอร์ดหวังเข้ามาเสียบช่องว่างตลาด โดยรถล็อตแรกข้ามน้ำทะเลมาจาก ฟิลิปปินส์ 35 คัน ถูกจับจองหมดเกลี้ยงหลังการเปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และแม้ในขั้นแรกอาจจะยังมียอดขายไม่มาก แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดีเพื่อต่อยอดเบิกทางในอนาคต ส่วนผู้บริโภคอย่างเราๆก็จะได้รับประโยชน์เมื่อมีทางเลือกมากขึ้น
“ผู้จัดการมอเตอริ่ง”มีโอกาสได้ลอง โฟกัส ดีเซล 2.0 TDCi กับทริปที่ ฟอร์ด จัดให้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กับเส้นทางเชียงราย- กรุงเทพฯ ระยะทางกว่า 900 กิโลเมตร ซึ่งจะว่าไปเราก็ตื่นเต้นกับเจ้า โฟกัส ดีเซล ตัวนี้มากเพราะรุ่นเครื่องยนต์เบนซินนั้น ถึงแม้ภาพรวมจะเป็นคอมแพ็กคาร์ที่ขับดี แต่การตอบสนองของเครื่องยนต์อาจยังไม่สะใจนัก ดังนั้นเมื่อเป็นเครื่องยนต์ ดูราทอร์ก เทอร์โบดีเซล คอมมอนเรล 2.0 ลิตร 136 แรงม้า แรงบิดระดับ 320 นิวตันเมตร ก็น่าจะรับประกันหรือสร้างความพอใจให้พวกตีนผีบ้าพลังได้ระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกันโฟกัส ดีเซล จะมากับตัวถัง แฮทซ์แบ็ก 5 ประตู เท่านั้น(อนาคตค่อยว่ากัน) ซึ่งเรื่องรูปพรรณสัณฐานไม่ต้องพูดกันมากเพราะเห็นกันมาจนชินตาสักระยะแล้ว ส่วนใครชอบไม่ชอบก็นานาจิตตังครับ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะเป็นรุ่นเครื่องยนต์ ดีเซล แต่น้ำหนักของตัวรถยังเท่ากับตัวรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร คือ 1,362 กิโลกรัม
ภายในยังเน้นโทนสีดำสไตล์สปอร์ต พวงมาลัย 3 ก้านหุ้มหนัง ขณะที่เบาะบักเก็ตซีทหนังกึ่งผ้าในตำแหน่งผู้ขับยังโอบกระชับนั่งสบาย ขับทางยาวๆไม่มีอาการเมื่อยหลัง แต่สิ่งที่ขาดหายไปและยังงงว่าทำไมไม่มีเหมือนพี่น้องร่วมรุ่นคือช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
สำหรับทริปนี้เป็นทางยาว โดยผู้จัดเตรียมโฟกัสไว้ให้หลายรุ่นสลับกันขับ ซึ่งเราเริ่มจากการลองตัวเบนซิน 2.0 ลิตร(อีกครั้ง)ก่อน จากนั้นจึงถึงคิวของพระเอกหน้าใหม่ ดีเซล 2.0 TDCi และแน่นอนว่า ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือ อัตราเร่งนั้นต่างกันฟ้ากับเหวเลย โดยข้อมูลจากฟอร์ดบอกว่า เจ้าโฟกัส ดีเซล สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 9.6 วินาที เท่านั้น
ขุมพลัง ดูราทอร์ก TDCi ยังมากับเทอร์โบแปรฝันที่ฟอร์ดเรียกว่า Variable Nozzle Turbo (VNT)เพื่อเพิ่มพลัง พร้อมตอบสนองทันใจทุกความเร็วรอบ ซึ่งระบบนี้จะปรับการทำงานภายในท่อร่วมไอดีให้สอดคล้องกับความเร็วเครื่องและแรงดันน้ำมันในขณะนั้น ทั้งยังช่วยให้เกิดการโอเวอร์บูสต์ เรียกแรงบิดมาได้อีกหลายระลอก
จุดเด่นอีกประการของ โฟกัส ดีเซล คือ จะมีระบบจัดการเครื่องยนต์ซึ่งทำหน้าที่ร่วมกับเซ็นเซอร์เครื่องยนต์ เกียร์ และระบบบังคับเลี้ยว เพื่อปรับแต่งจังหวะจุดระเบิดล่าสุด ให้เครื่องยนต์เดินเรียบนุ่มนวล ลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและไอเสีย ทั้งนี้เพื่อความแม่นยำในการสั่งการยังใช้คันเร่งไฟฟ้า(drive-by-wire)ควบคุมอัตราเร่งอีกด้วย
ขณะเดียวกันการส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดาอัตราทดชิด 6 สปีด ถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์สู่ล้อหน้าอย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่วนการสับโยกเปลี่ยนเกียร์ทำได้ราบรื่นคล่องมือ แต่จะว่าไปด้วยความแรงของเครื่องยนต์ และการขับทางยาวๆในทริปนี้ เราลองแช่อยู่ที่เกียร์ 6 ก็สามารถเร่งแซงหรือเรียกความเร็วได้อย่างสบายๆ ด้านการบังคับควบคุมผ่านพวงมาลัยยังทำได้ดีเหมือนเดิม ช่วงล่างอิสระสี่ล้อยังเฟิร์มแน่นขับสนุก ทรงตัวเป็นเยี่ยม มั่นใจทุกโค้งและสภาพผิวถนน
อย่างไรก็ตามในช่วงความเร็วคงที่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่เกียร์ 6 เราเหลือบมองเห็นรอบเครื่องยนต์แตะอยู่แถว 2100 รอบเท่านั้น ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันสำหรับการขับในเมือง(ช่วงกลางวัน) และมีโอกาสได้ยิงยาวๆซัดคันเร่งหนักๆบ้าง(ตอนกลางคืน) ตัวเลขตามมาตรวัดระบุอยู่ที่ 7 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือประมาณ 14.2 กิโลเมตร/ลิตร ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ฟอร์ดเคลมไว้ 17.8 กิโลเมตร/ลิตร ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ฟอร์ดยังกระซิบว่า โฟกัส 2.0 TDCi สามารถเติมน้ำมันดีเซล B5 ได้อีกด้วย
รวบรัดตัดความ...ในยุคน้ำมันดีเซลพุ่งทะยานเกิน 30 บาท/ลิตร ฟอร์ดยังใจดีหาผลิตภัณฑ์มารองรับ โดยตั้งราคา โฟกัส 2.0 TDCi ไว้ 1.055 ล้านบาท (รุ่นเครื่องยนต์เบนซินตัวท็อป 9.89 แสนบาท) กับจุดเด่นของเทคโนโลยีเทอร์โบ ดีเซล คอมมอนเรล อันทรงพลัง พร้อมเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ที่สนองต่อแรงบิดระดับ 320 นิวตันเมตรได้อย่างฉับไว ขณะเดียวกันตัวเลขบริโภคน้ำมันที่ออกมาก็อยู่ในระดับจิบๆเท่านั้น...ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียวครับ