นอกจากบีทเทิลและไมโครบัสแล้ว รถยนต์อีกสายพันธุ์ที่ยังอยู่ในความทรงจำของบรรดาแฟนโฟล์คสวาเกน ก็คือ สปอร์ตสำหรับคนงบน้อยอย่างรุ่นซิร็อคโค เพราะถือเป็นความปราดเปรียวที่มีราคาไม่แพงและสามารถเข้าถึงความต้องการของคนกลุ่มใหญ่ได้อย่างทั่วถึง ก่อนที่แบรนด์ดังของเยอรมนีจะเลิกทำตลาดไปหลังจากวางขายเพียงแค่ 2 รุ่นในช่วงระยะเวลา 18 ปีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม โฟล์คฯ ปัดฝุ่นนำชื่อนี้กลับมาอีกครั้งเหมือนกับที่เคยทำแล้วได้รับผลตอบรับที่ดีกับนิวบีเทิล กับการเปิดตัวในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2008 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยซิร็อคโคใหม่แบบโมเดลเชนจ์พร้อมคงเอกลักษณ์ของความเป็นสปอร์ตทรงกะทัดรัดแต่เพียบพร้อมด้วยสมรรถนะ
ย้อนความกันสักนิดสำหรับประวัติของซิร็อคโค เพราะรถสปอร์ตรุ่นนี้ถือกำเนิดในปี 1974 และเข้ามาแทนที่ความคลาสสิคอย่างคามานน์ เกียที่ครบวาระในการทำตลาด ตัวรถได้รับการออกแบบโดยจิออร์เจ็ตโต จุยเจียโร ใช้พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับกอล์ฟรุ่นแรก และมีการส่งไปขายในอเมริกาเหนือในปีต่อมา พร้อมกับได้รับความนิยมอย่างมากโดยรุ่นแรกสร้างยอดขายได้มากกว่า 500,000 คัน ก่อนที่รุ่นใหม่จะเปิดตัวในปี 1982
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุที่สายพันธุ์ที่ 2 ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานทางวิศวกรรมเดียวกับรุ่นแรก แถมยังมีรูปลักษณ์ที่ไม่แตกต่างมากนัก ทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าที่ควร และมียอดขายเพียง 291,000 คันเท่านั้น ก่อนที่โฟล์คฯ จะตัดสินใจยุบไลน์ผลิตตั้งแต่ปี 1988 ในเมืองลุงแซม และเยอรมนีเป็นแห่งสุดท้ายที่เลิกผลิตในปี 1992 เพื่อเปิดทางให้กับรถสปอร์ตรุ่นใหม่ที่ไฉไลกว่าอย่างคอร์ราโด (Corrado) ซึ่งก็ไปไม่รอดเช่นกัน เพราะเลิกขายไปในปี 1995 และทำให้โฟล์คฯ ขาดแคลนสปอร์ตขนาดกลางสำหรับทำตลาดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
โฟล์คฯ ประกาศว่าจะนำชื่อของซิร็อคโคกลับมาทำตลาดอีกครั้งช่วงกลางปี 2006 และรุ่นใหม่เป็นการพัฒนามาจากต้นแบบรุ่นไอร็อค (Iroc) ที่เปิดตัวในปารีส มอเตอร์โชว์ 2006 อีกทั้งยังยึดคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาเหมือนกับรุ่นดั้งเดิม คือ เน้นความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวบนตัวถังกะทัดรัด
โดยที่พื้นฐานทางวิศวกรรมจะอิงอยู่กับคอมแพ็กต์คาร์รุ่นกอล์ฟ ซึ่งในเจนเนอเรชันใหม่นี้จะใช้พื้นตัวถังรุ่น A5 เช่นเดียวกับกอล์ฟ มาร์ค 5 และออดี้ เอ3 โดยมี Klaus Bischoff หัวหน้าทีมออกแบบของโฟล์คฯ รับผิดชอบในการทำงาน
รายละเอียดของตัวรถมีการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับตลาด แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ แทนที่รูปทรงจะเป็นแบบคูเป้แบบท้ายลาดเหมือนกับรุ่นเดิม งานนี้กลายเป็นว่ามีตัวถังที่มีความยาว 4,256 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,578 มิลลิเมตรกลับถูกออกแบบให้เป็นแฮทช์แบ็กแบบท้ายตัดจนถูกค่อนขอดว่าดูเหมือนกับกอล์ฟ เวอร์ชันสปอร์ตมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในห้องโดยสารคือสิ่งที่ทำให้สามารถสัมผัสถึงความสปอร์ตมากกว่าการเป็นรถจ่ายกับข้าว เพราะว่าทุกรายละเอียดถูกเสริมความโฉบเฉี่ยวและเด่นสุดกับเบาะหลังซึ่งแยกออกเป็น 2 ที่นั่งอย่างชัดเจนแทนที่จะเป็นเบาะนั่งแถวยาวซึ่งนั่นได้ 3 คนเหมือนกับรถยนต์ทั่วไป ส่วนในเรื่องความอเนกประสงค์ก็ไม่ต้องห่วง เพราะแม้ว่าพื้นที่เก็บของด้านท้ายจะมีความจุเพียง 292 ลิตร แต่เมื่อพับเบาะหลังลงมาแล้ว ความจุจะเพิ่มเป็น 755 ลิตรเลยทีเดียว
สิ่งที่แฟนๆ อาจผิดหวังอีกเรื่องคือ ทางเลือกของเครื่องยนต์ที่ไม่หลากหลาย เพราะในช่วงแรกมีเพียงแบบเดียวเท่านั้น กับความแรงในระดับ 200 แรงม้ากับเครื่องยนต์เบนซินไดเร็กต์อินเจ็กชัน 4 สูบ 2,000 ซีซี T-FSI เทอร์โบ ส่วนอีกรุ่นเบนซิน 4 สูบ 1,600 ซีซี TSI 168 แรงม้าจะตามมาภายหลัง เช่นเดียวกับเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลที่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด
โดยที่ระบบเกียร์ในช่วงแรกจะเป็นแบบธรรมดา หรือ DSG แบบธรรมดาคลัตช์ไฟฟ้า 6 จังหวะเท่ากันทั้ง 2 รุ่น แต่ถ้าอยากสัมผัสกับ DSG รุ่นใหม่แบบ 7 จังหวะต้องอดใจรอกันนานหน่อย เพราะจะเริ่มขายปลายปีนี้
ไลน์ผลิตของซิร็อคโคใหม่จะอยู่ที่โรงงานในเมืองพัลเมลา ประเทศโปรตุเกสด้วยกำลังการผลิตประมาณ 100,000 คันต่อปี และจะเริ่มวางขายกันตั้งแต่กลางปีนี้กับรุ่นพวงมาลัยซ้าย ส่วนพวงมาลัยขวาจะเริ่มขายในเดือนกันยายนเป็นต้นไป ส่วนราคาในเยอรมนีอยู่ที่ 21,750 ยูโร หรือ 980,000 บาท
สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งซิร็อคโคเคยได้รับความนิยม ดูเหมือนว่าอาจจะพลาดโอกาสได้สัมผัส เพราะข่าวแจ้งว่าทางผู้บริหารของโฟล์คฯ ไม่ค่อยปลื้มยอดขายของกอล์ฟ Gti เท่าไร เมื่อบวกกับเรื่องของความผันแปรของค่าเงิน อาจจะตัดสินใจไม่ส่งเข้าไปขาย