ดูเหมือนว่าในช่วงต้นปีนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์จะโหมลุยตลาดกันตั้งแต่หัววัน เพราะนับจากสปอร์ตรุ่นเล็กอย่างซีแอลเค และไมเนอร์เชนจ์ของเอสแอลที่มีภาพหลุดออกมาให้เห็น รวมถึงสปอร์ตคอมแพ็กต์สายพันธุ์เดียวกับซี-คลาสอย่างซีแอลซีที่จะเตรียมเปิดตัวในงานแฟชั่นโชว์ที่เบอร์ลินแล้ว ในตอนนี้ค่ายดาว 3 แฉกยังส่งทางเลือกใหม่ออกมากระตุ้นตลาดสปอร์ตซีดานขนาดกลางกึ่งใหญ่อีกด้วย กับเวอร์ชันปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์ของซีแอลเอส ซึ่งเพิ่มความสดใหม่ในทุกรายละเอียดทั้งภายนอกและภายใน
ซีแอลเอสถือเป็นการแตกไลน์เพื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบความสปอร์ตบนตัวถังซีดาน 4 ประตู ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับอี-คลาสรุ่นปัจจุบัน รหัสตัวถัง W211 สำหรับเติมเต็มตลาดในการแข่งขันกับบีเอ็มดับเบิลยูที่มีทั้งซีรีส์ 5 และซีรีส์ 6
สำหรับรุ่นดั้งเดิมของซีแอลเอสรหัสตัวถัง C219 เปิดตัวครั้งแรกช่วงปลายปี 2004 พร้อมกับได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะถือเป็นทางเลือกใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในตลาดจนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ทำให้หลายค่ายรถยนต์ทั้งระดับหรูและสำหรับคนทั่วไปเริ่มเดินตาม โดยเฉพาะการสร้างสรรค์รูปลักษณ์แบบ 4 ประตูให้มีความปราดเปรียวและโฉบเฉี่ยวด้วยแนวเสาหลังคาด้านหลังซึ่งมีความลาดเทจนทำให้ดูคล้ายกับรถสปอร์ต
ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์สามารถสัมผัสได้กับความเปลี่ยนแปลงแบบพอประมาณสำหรับรูปลักษณ์ภายนอก ไฟหน้ายังเป็นทรงตัว L เหมือนเดิมแต่เพิ่มความสดใหม่ด้วยการเปลี่ยนเลนส์ไฟเลี้ยวเป็นสีเหลือง ขณะที่กระจังหน้าลดจำนวนซี่เหลือเพียง 2 ซี่พร้อมกับฝังโลโก้ดาว 3 แฉกไว้ภายในพร้อมกับกันชนหน้าซึ่งเปลี่ยนลายละเอียดของช่องระบายอากาศใหม่รวมถึงยังถอดไฟหรี่ตรงมุมกันชนออก รวมถึงไฟเลี้ยวที่ฝังอยู่ในกระจกมองข้างก็เปลี่ยนรูปทรงใหม่ ขณะที่ไฟท้ายทรงสามเหลี่ยมเปลี่ยนมาใช้ไฟแบบ LED ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่องสว่างขึ้นจากไฟแบบเดิมๆ
ภายในอัพเกรดความหรูบนความสปอร์ตด้วยการเลือกใช้วัสดุใหม่ในการตกแต่ง ขณะที่พวงมาลัยแบบ 3 ก้านเปลี่ยนลายใหม่ให้สอดคล้องกับสไตล์การออกแบบพวงมาลัยยุคใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่เน้นรูปทรงแบบก้านหนา นอกจากนั้นยังติดตั้งระบบ Telematics แบบ NTG 2.5 รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อการทำงานของระบบต่างๆ ภายในรถ โดยเฉพาะในส่วนของระบบความบันเทิงภายในรถ และระบบนำร่องผ่านดาวเทียม
หลากหลายทางเลือกของเครื่องยนต์เช่นเดิม และในรุ่นเบนซินหันมาเริ่มต้นกับรหัส CLS280 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดวางเครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซี 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 30.6 กก.-ม. มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 7.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 245 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขณะที่รุ่นอื่นๆ ก็ยังเหมือนเดิม คือ CLS350CGI แบบวี6 3,500 ซีซีแบบเบนซินไดเร็กต์อินเจ็กชัน มีกำลังสูงสุด 292 แรงม้า และรุ่น CLS500 วี8 5,500 ซีซี ขยับกำลังจาก 382 มาเป็น 388 แรงม้า ส่วนกลุ่มเทอร์โบดีเซลมีแบบเดียว คือ CLS320CDI วี6 3,000 ซีซี 224 แรงม้า
ตัวแรงมีการเปลี่ยนจาก CLS55AMG มาเป็น CLS63AMG กับการวางเครื่องยนต์วี8 6,200 ซีซี 514 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 64.2 กก.-ม.มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 4.4 วินาที และความเร็วสูงสุดถูกล็อกไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยทุกรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังและส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะรุ่น 7G-Tronic
ซีแอลเอสใหม่ แบบไมเนอร์เชนจ์ จะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าในยุโรปตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป กับราคาในยุโรประหว่าง 55,692-106,624 ยูโร หรือ 2.5-4.8 ล้านบาท