ตลาดรถแบบเอสยูวีของบ้านเรา ยุคหนึ่งเคยเฟื่องฟูอย่างมาก ชนิดบ้านใครไม่มีรถประเภทนี้จอดประจำการอยู่ในที่จอดรถถือว่าเชยมาก แตกต่างจากสถานการณ์ปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง หลังการถีบตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ยอดขายรถเอสยูวีมีแต่สาละวันเตี้ยลงเรื่อยมา
ประกอบกับการถือกำเนิดของรถประเภท พีพีวี หรือปิกอัพดัดแปลง อาทิ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ หรือ อีซูซุ มิว7 เป็นต้น เข้ามาขโมยลูกค้าของตลาดรถแบบเอสยูวีพันธุ์แท้ไปอย่างง่ายดาย ด้วยการตอบโจทย์ตรงใจผู้บริโภคทุกหัวข้อ
แต่ก็ยังคงมีผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่นิยมชมชอบในความเป็นเอสยูวีพันธ์แท้เอาไว้อย่างเหนียวแน่น ทำให้ค่ายรถยังคงมีโมเดลรถทำตลาดเพื่อรองรับความต้องการส่วนนี้ และหนึ่งในตัวเลือกล่าสุด “นิสสัน มูราโน่ รุ่น 2.5 ลิตร”
ด้วยเหตุราคาน้ำมันแพง นิสสันตัดสินใจหยุดการทำตลาดมูราโนรุ่นเครื่องยนต์ 3.5 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ และขอแทนที่ด้วยรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ ซึ่งมีข้อดีถึงสองประการคือ ประหยัดน้ำมันมากขึ้นและราคาขายถูกลง โดยตัว 2.5 ลิตร นิสสันเคาะราคาที่ 2.95 ล้านบาท ตอบโจทย์ คอมแพคเอสยูวีหรู อันมีคู่แข่งสำคัญไล่เลียงมาตั้งแต่ โตโยต้า แฮร์ริเออร์หรือเล็กซัส อาร์เอ็กซ์ 300, มาสด้า ซีเอ็กซ์-7 รวมไปถึง บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์3
แทนการเปิดตัวแบบหรูหราอลังการ นิสสันเลือกกลยุทธ์เชิญสื่อมวลชนทดสอบ นิสสัน มูราโน รุ่น 2.5 ลิตร เป็นกลุ่มย่อยแบบกันเอง ไปเช้า-เย็นกลับ โดยทริปของเรา “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” และสื่อมวลชนอีก 3 ท่าน ตกลงเลือกเส้นทางกรุงเทพฯ – ระยอง – กรุงเทพฯ
เริ่มต้นการเดินทางโดยใช้มอเตอร์ เวย์ มุ่งหน้าชลบุรี ช่วงแรกผู้เขียนเลือกนั่งตำแหน่งเบาะหลังก่อนเพื่อทดลองความนุ่มนวลจากการเลือกใช้ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ สตรัทและหลังแบบอิสระ มัลติลิงค์ พบว่า นุ่มกว่าบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์3 นิดหน่อย และยังคงรับรู้ถึงแรงกระเทือนตามสไตล์รถเอสยูวีทั่วไป
หลังจากหลับๆ ตื่นๆ มาเป็นระยะทาง 100 กม. ก็ถึงคิวของเราสลับกลับมาเป็นสารถีบ้าง แว่บแรกที่นั่งประจำตำแหน่งมีความรู้สึกคล้ายกับอยู่ใน 350แซด อันเนื่องมาจากเรือนไมล์แบบ 3 จอและพวงมาลัยถอดแบบพิมพ์เดียวกันมานั่นเอง ทว่าทัศนวิสัยดีกว่ามาก
สับเกียร์เดินหน้า แตะคันเร่ง เจ้ามูราโน พุ่งทะยานไปอย่างเร้าใจ แม้เครื่องยนต์จะมีขนาดเพียง 2.5 ลิตร แต่พละกำลัง 163 แรงม้าจากรหัส QR 25DE ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด steptronic จัดว่าแรงเหลือเฟือ สามารถตอบสนองทุกสไตล์การขับขี่ได้โดยไม่บกพร่อง เราลองความเร็วสูงสุดวิ่งถึง 185 กม./ชม. แบบยังมีกำลังเหลือพอขยับตัวเลขสูงขึ้นไปอีกถ้ามีถนนให้วิ่ง
ณ ความเร็ว 160 กม./ชม. มูราโนยังคงความนิ่งไม่ต่างจากการวิ่งด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. มีเพียงเสียงลมที่เริ่มรบกวนโสตประสาท ส่วนความรู้สึกของการขับขี่ ทั้งการเข้าโค้ง และการเกาะถนน เทียบเคียงได้กับรถยุโรปเลยทีเดียว โดยเฉพาะจังหวะเร่งแซง ทันใจและอุ่นใจได้เต็ม 100% ว่าแซงพ้นแน่นอน
หลังลองความเร็วสูงสุดแล้ว ก็หันมาขับแบบเพลินๆ 100-120 กม./ชม. พร้อมทดลองใช้งานปุ่มต่างๆ ทั้งที่แผงคอนโซลหน้าและพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พบว่า สะดวกสบาย อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานง่าย และเมื่อเหลือบตาไปเห็นยี่ห้อเครื่องเสียงเป็น BOSE จึงไม่แปลกใจ ทำไมเสียงดีจัง
เราขับเป็นระยะทางประมาณ 100 กม. รวมกับการนั่งหลับรอบแรกเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงในมูราโน เมื่อจอดรถเดินลงมา ไม่มีอาการเมื่อยหรือล้าแต่อย่างใด อัตราการบริโภคน้ำมันไม่มีตัวเลขยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ความเข้าใจพื้นฐานไม่ว่าอย่างไรเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตรก็น่าจะประหยัดกว่า 3.5 ลิตร ภายใต้ผู้ผลิตรายเดียวกัน
บทสรุป สำหรับมูราโน 2.5 ลิตร แม้เครื่องยนต์จะเล็กลงแต่สมรรถนะโดยรวมถือว่า เพียงพอสร้างสรรค์ความสนุกในการขับขี่ได้เช่นเดิม แถมพ่วงอัตราการบริโภคน้ำมันประหยัดกว่ารุ่น 3.5 ลิตร รวมถึงราคาค่าตัวเพียง 2.95 ล้านบาท เจ้ามูราโน 2.5 ลิตร เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม ฟันธง!!