xs
xsm
sm
md
lg

แยกวงกงสี‘ยนตรกิจ’...เปอโยต์ลั่นสู่มืออาชีพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ค่ายสิงห์ผยอง “เปอโยต์” ลั่นขอแยกวงพ้นร่มเงา “ยนตรกิจ” โดยสองพี่น้อง “พลกฤษณ์-พสุพงษ์ ลีนุตพงษ์” นำทัพ “ยูโรเปียน โอโตโมบิลส์” ยึดที่มั่นบนถนนสุขาภิบาล 3 และรามอินทรา ปรับภาพลักษณ์การทำงานแบบคนรุ่นใหม่มืออาชีพ เน้นนโยบายบริการหลังการขาย สร้างความเชื่อมั่น เผยเตรียมสร้างความชัดเจน ปลายปีนี้ขอลุยเดี่ยวในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2008 ไม่ร่วมออกบูธกับกลุ่มยนตรกิจเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา พร้อมนำคอนเซปต์ คาร์ 308 RC Z มาอวดโฉม

ขณะที่รถใหม่เปิดตัวขายปีนี้ นอกจากรถตู้รุ่น “เอ็กซ์เพิร์ต” ที่ส่งเขย่าตลาดไปแล้วเมื่อก.พ.ที่ผ่านมา ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ยังเล็งส่งรุ่น “308 SW” เครื่องยนต์ดีเซล เคาะราคาไม่ถึง 2 ล้านบาท มาทิ้งทวนหวังดันยอดขายรวมปีนี้ทะลุ 250 คัน แย้มข่าวดีในอีก 1-2 ปีข้างหน้า บริษัทแม่เปอโยต์ ฝรั่งเศส อาจเข้ามาลงทุนในไทย ด้วยการขึ้นไลน์ประกอบเอสยูวีรุ่น 4007 ส่งขายทั่วอาเซียน

ถือเป็นข่าวเด่นประเด็นร้อน ในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์เมืองไทย สำหรับการแบ่งสมบัติจากกงสีตระกูล “ลีนุตพงษ์” ที่อยู่ภายใต้รูปของกลุ่ม “ยนตรกิจ” ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ ทั้งโฟล์คสวาเกน, ออดี้, เปอโยต์, ซีตรอง, เกีย และสโกดา ซึ่งล่าสุดมีข่าวแว่วว่าได้มีการตกลงแบ่งปันธุรกิจในกลุ่ม ให้กับพี่ๆ น้องๆ แต่ละคนลงตัวเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเท่านั้น

โดยจากกระแสข่าวที่เล็ดลอดออกมา พอจะจับทิศทางได้ว่า แบรนด์ดังจากเยอรมัน “โฟล์คสวาเกน” จะถูก “วิทิต ลีนุตพงษ์” หอบหิ้วไปทำตลาดเพียงลำพัง ส่วนแบรนด์ที่เหลืออื่นๆ ยังคงจับกลุ่มกันอยู่ ภายใต้การจัดการองค์กรใหม่ เพียงแต่เปอโยต์ได้มีการขอแยกออกมาบริหารเป็นเอกเทศ ไม่ต้องตัดสินใจร่วมกับทางกลุ่ม
“เวลานี้ผมคงไม่สามารถพูดถึงรายละเอียด การจัดโครงสร้างบริหารใหม่ในกลุ่มยนตรกิจได้ และคงต้องรอให้แต่ละแบรนด์ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการกันเอง แต่ในส่วนของเปอโยต์นั้นได้แยกตัวออกมาบริหารแล้ว โดยผมกับพี่ชาย (พลกฤษ ลีนุตพงษ์) ร่วมกันรับผิดชอบ ซึ่งการจัดการดังกล่าวจะทำให้มีความคล่องตัวในการบริหาร สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่”

พสุพงษ์ ลีนุตพงษ์ กรรมการบริหาร บริษัท ยูโรเปียน โอโตโมบิลส์ จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์เปอโยต์ในไทย ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้กลุ่มยนตรกิจ แต่ตามโครงสร้างใหม่จะแยกการบริหารออกมาเป็นอิสระ กล่าวและว่า

ปัจจุบันเปอโยต์มีสาขาใหญ่ ที่เป็นทั้งออฟฟิศ โชว์รูม ศูนย์บริการครบวงจร 2 แห่ง ได้แก่ โชว์รูมและศูนย์บริการ ที่ถนนสุขาภิบาล 3 เนื้อที่กว่า 10 ไร่ บริหารโดย พลกฤษณ์ ลีนุพงษ์ และแห่งใหม่บนถนนรามอินทรา (ซ.มัยลาภ) บริหารโดยตนเอง และเพิ่งจะโยกย้ายมาจากสุรวงศ์ แต่ถึงโชว์รูมแห่งนี้จะเปิดให้บริการแล้ว แต่ก็อยู่ระหว่างการปรับปรุงไปพร้อมๆ กัน โดยใช้เงินปรับปรุงไปประมาณ 7 ล้านบาท มี 27 ช่องซ่อม สามารถรองรับรถลูกค้าได้ 700-800 คันต่อเดือน

ส่วนการยอมรับของลูกค้าต่อแบรนด์เปอโยต์ พสุพงษ์กล่าวว่ารถเปอโยต์ทุกวันนี้ ได้มีการพัฒนาไปมาก ทั้งด้านสมรรถนะ การออกแบบ พร้อมกับราคาที่สามารถแข่งขันได้ ดังนั้นประเด็นต่อไปจึงอยู่ที่การทำอย่างไรให้ลูกค้าพอใจ หรือใช้รถแล้วมีความสุข ซึ่งโชว์รูมและศูนย์บริการที่รามอินทรา จะเข้ามารองรับด้านการขาย และบริการหลังการขาย ถือเป็นนโยบายหลักที่บริษัทจะนำมาใช้ในปีนี้

“เปอโยต์เป็นรถที่ขายได้ด้วยตัวมันเอง แต่สิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง คือ การสร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมความมั่นใจให้ลูกค้า ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็รับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น ดังนั้นการขายและการบริการจึงต้องนำความจริงมาพูดกัน ซึ่งแนวนโยบายของเราในปัจจุบัน จะแจ้งให้ลูกค้าทราบถึงราคาค่าอะไหล่ ค่าซ่อม ค่าบำรุงรักษา ก่อนจะตัดสินใจซื้อรถตั้งแต่แรก เพื่อความเข้าใจตรงกัน และความสบายใจของทั้งสองฝ่าย”

นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมงบการตลาด 15 ล้านบาท เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมถึงจัดกิจกรรมโรดโชว์ต่างๆ แล้ว ยังเสริมการบริการด้วยรถโมบายเซอร์วิส ตลอด 24 ชั่วโมงฟรี รวมถึงจัดทีมช่างพร้อมเครื่องมือพิเศษ เดินสายไปพบลูกค้าโดยตรงใน 11 จังหวัดทั่วประเทศตลอดทั้งปี

อย่างไรก็ตามหลังจากแยกแบรนด์เปอโยต์ ออกมาจากเครือยนตรกิจแล้ว บริษัทก็เตรียมเข้าร่วมงานมอเตอร์ เอ็กซโป 2008 ช่วงปลายปี โดยไม่ปนกับแบรนด์อื่นๆ ของยนตรกิจ เพื่อสร้างการรับรู้และภาพลักษณ์ที่เด่นชัด ซึ่งนอกจากจะมีการเปิดตัวรถใหม่ภายในงานแล้ว อาจจะมีการนำรถต้นแบบอย่างรุ่น 308 RC Z (เปิดตัวครั้งแรกในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2007)มาอวดโฉมด้วย

บิ๊กบอสสิงห์ผยองยังเปิดเผยถึงโปรดักส์ใหม่ๆ ที่ เตรียมนำเข้ามาลุยตลาดว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้แนะนำ เปอโยต์ เอ็กซ์เพิร์ต (Peugeot Expert ) รถตู้อเนกประสงค์ 11 ที่นั่ง พร้อมเครื่องยนต์ดีเซล HDi คอมมอนเรล ขนาด 2.0 ลิตร 120 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ราคา 1.69 ล้านบาท ที่ถึงวันนี้มียอดจองเข้ามากว่า 10 คันแล้ว และจะเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 150 คัน

สำหรับปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมทุกรุ่นไว้ที่ 250 คัน มากกว่าปีที่แล้วที่ทำได้ 150 คัน โดยตัวขายหลักจะอยู่ที่รุ่นเอ็กซ์เพิร์ต และ 207 ซีซี (207CC) อย่างไรก็ตามช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ยังเตรียมนำเข้า เปอโยต์ 308 เอสดับเบิลยู (308 SW) มาทำตลาด ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 138 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ราคาขายไม่เกิน 2 ล้านบาท จากนั้นต้นปี 2552 จะเสริมไลน์ด้วย 308 ซีซี (308CC) ตัวถังเปิดประทุนพร้อมหลังคาแข็งพับได้

ด้านสถานการณ์ตลาดรถหรู พสุพงษ์ให้ความเห็นว่า ในปีนี้น่าจะอยู่ระดับทรงตัวเทียบเท่าปีที่แล้ว และถึงแม้จะได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แต่คงต้องให้เวลาทำงานสักระยะ และดูว่ามาตรการต่างๆ ที่ประกาศออกมาจะนำมาปฏิบัติใช้จริงได้มากน้อยแค่ไหน ขณะเดียวกันบรรดารถยุโรปอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู หรือวอลโว่ ยังต้องเจอกับรถยนต์นั่งขนาดกลางของญี่ปุ่น เข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาดอีกด้วย

“บรรดารถหรูที่ลูกค้านำไปใช้งานจริง หรือใช้ในชีวิตประจำวันอาจจะทำยอดขายไม่ดีนัก เนื่องจากเจอรถจากญี่ปุ่นมาตีตลาด และแย่งชิงลูกค้าไปมาก ซึ่งคงต้องยอมรับว่าปัจจุบันรถยนต์นั่งขนาดกลางของญี่ปุ่น(โตโยต้า คัมรี่ และฮอนด้า แอคคอร์ด) พัฒนาไปมาก ทั้งสมรรถนะและออปชั่นที่ใส่มาให้ ประกอบกับราคาเพียงล้านกว่าๆ จึงทำให้ผู้บริโภคหันมานิยมมากขึ้น แต่ในส่วนของรถหรูที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกค้าใช้เป็นรถคันที่สอง หรือสาม ตลาดยังน่าจะไปได้เรื่อยๆ”

พสุพงษ์ยังเผยทิศทางอนาคตของเปอโยต์ ในประเทศไทยว่า จากการจัดสรรโครงสร้างบริหารใหม่ จะทำให้ระบบต่างดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น ไม่ยึดติดระบบกงสีเหมือนก่อน ซึ่งตรงนี้ทางบริษัทแม่ที่ฝรั่งเศสก็พอใจ ยังสนับสนุนเป็นอย่างดีตลอดมา แต่ต้องยอมรับว่าเปอโยต์ในยุโรปเป็นค่ายรถยักษ์ใหญ่ ดังนั้นยอดขายในไทย ปีละ 200-300 คัน ยังดูน้อยไปและคงหวังเพิ่มยอดขายให้เติบโตยิ่งขึ้น

“เชื่อว่าเปอโยต์ คงไม่หยุดแค่นี้ แต่การเป็นบริษัทใหญ่ดังนั้นทำอะไรต้องมั่นใจ ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งคนเข้ามาศึกษา หาข้อมูลในตลาดไทยโดยตลอด และช่วงสิ้นปีนี้เปอโยต์ ฝรั่งเศส เตรียมจัดประชุมผู้แทนจำหน่ายทั่วโลกประจำปีในเมืองไทย เพื่อมอบนโยบายต่างๆ ย่อมแสดงเห็นถึงการให้ความสำคัญกับตลาดบ้านเรา และประเทศในภูมิภาคนี้ ซึ่งคาดว่า 1-2 ปีข้างหน้าอาจมีข่าวดี จากการขึ้นไลน์ประกอบรถเอสยูวี รุ่น 4007 ในประเทศไทย พร้อมใช้เป็นฐานส่งออกทั่วภูมิภาคอาเซียน ด้วยหวังสิทธิพิเศษตามกรอบข้อตกลงทางการค้า AFTA” พสุพงษ์ กล่าวปิดท้าย

นี่คือความวาดหวังของ “เปอโยต์” ในไทย ภายใต้การโครงสร้างการบริหารใหม่ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่? คงต้องติดตามดูกันต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น