เดอะ ช็อคโกแลต แฟคทอรี่ ก้าวสู่ปีที่ 3 เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ เดินหน้าเปิด 2 สาขาใหม่ พัทยาและหัวหิน หลังจากประสบความสำเร็จกับสาขาแรกที่เขาใหญ่ เผยโมเดลร้านอาหาร ชี้จุดขายความแปลกใหม่และแตกต่าง ชูคอนเซ็ปต์จุดนัดพบสำหรับทุกคน ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่
พิมพ์ชนก ทวีโภค ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เดอะ ช็อคโกแลต แฟคทอรี่ จำกัด ผู้ร่วมก่อตั้งร้าน “เดอะ ช็อคโกแลต แฟคทอรี่” (The Chocolate Factory ) กล่าวถึงความสำเร็จจากการเปิดร้านเดอะ ช็อคโกแลต แฟคทอรี่ ในการก้าวสู่ปีที่ 3 ว่า เริ่มต้นจากการเปิดสาขาแรกที่เขาใหญ่ ริมถนนธนะรัชต์ กิโลเมตรที่11 ด้วยการออกแบบและตกแต่งอาคารในสไตล์โมเดิร์น แต่ดูอบอุ่น (Cozy Modern) ภายใต้บรรยากาศที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติของป่าเขาและอากาศที่สดชื่น พร้อมทั้งการมีรูปแบบการบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างลงตัว
ด้วยการนำเสนอรูปแบบที่แปลกใหม่และแตกต่างอย่างโดดเด่น โดยนำช็อคโกแลตระดับพรีเมี่ยม ซึ่งผลิตสดใหม่ทุกวัน ด้วยวัตถุดิบชั้นดีจากเบลเยี่ยม ฝรั่งเศส และสวิสเซอร์แลนด์ มาสร้างสรรค์ให้ผู้บริโภคได้เลือกกว่า 30 รายการ โดย“เชฟเอริก เปเรซ” Eric Perez ผู้ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Pastry Art & Design ให้เป็น 1 ใน 10 ของสุดยอดเชฟขนมหวานแห่งสหรัฐอเมริกา มาเป็นผู้ควบคุม คิดค้นสูตรและส่วนผสม พร้อมกับการสร้างจุดเด่นของร้านโดยให้ลูกค้าสามารถเห็นขั้นตอนการผลิตอย่างใกล้ชิด และบอกเล่าเรื่องราวของช็อคโกแลตเพื่อให้ลูกค้าโดยเฉพาะคนไทยได้รู้จักกับช็อคโกแลตมากขึ้น รวมถึง การสร้างสรรค์อาหารสไตล์ยุโรปผสมผสานอาหารไทยฟิวชั่นหลากหลายเมนู เช่น ฟรัวกราส์ราดซอสราสเบอรี่ , ซี่โครงแกะย่างราดซอสโรสแมรี่, สปาเก็ตตี้ไส้กรอกอิตาเลี่ยน และข้าวซี่โครงหมู
นอกจากนี้ ยังมีการจัดเวิร์คชอปการทำขนมและอาหาร ซึ่งหลายเมนูทำได้ไม่ยาก เช่น การทำมองดิออง (Mandiant) ช็อคโกแลตแผ่นกลมตกแต่งด้วยถั่ว สไตล์ยุโรปดั้งเดิม ซึ่งนอกจากจะได้เรียนรู้การทำแล้ว ยังได้รู้ถึงความเป็นมา การแปรรูปจากเมล็ดโกโก้เป็นช็อคโกแลตแสนอร่อย และความแตกต่างระหว่างช็อคโกแลตแท้กับช็อคโกแลตเทียม หรือการทำกรอบรูปช็อคโกแลต ทำให้ได้สร้างสรรค์และต่อเติมจินตนาการอย่างสนุกสนาน โดยมีเวลาให้เลือก 3 ช่วงคือ 30 นาที 90 นาที และ120 นาที
สำหรับสาขา 2 ที่พัทยา เพิ่งจะเปิดให้บริการเมื่อต้นปีนี้ ตั้งอยู่บนเขาพระตำหนักซึ่งสวยงาม เงียบสงบ และสะอาด ด้วยการออกแบบอาคารในสไตล์บีชโคซี่ (Beach Cozy) ติดกระจกเป็นแนวยาว ลูกค้าทุกโต๊ะสามารถมองเห็นทะเลในวิวแบบ 360 องศา และเดินลงทะเลได้ ส่วนเมนูเด่นที่ต้องการนำเสนอเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศจึงคัดเลือกกุ้งมังกร และหอยนางรมสดๆ มาให้บริการในราคาพิเศษ เพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้า นอกจากนี้ ยังจัดเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดสาขา 3 ที่หัวหิน ประมาณกลางปีนี้ โดยออกแบบร้านในสไตล์โคโลเนี่ยล-โมเดิร์น และนำเสนออาหารทะเลแบบฟิวชั่นฟู้ด
อย่างไรก็ตาม ร้านทุกสาขายังคงยึดคอนเซ็ปต์หลัก ด้วยการนำเสนออาหารเมนูหลักที่มีสไตล์ของตนเองกว่า 20 รายการ เช่น สลัด ซุป พาสต้า พิซซ่า ซีฟู้ด และอาหารไทยรสชาติเข้มข้น เช่น ฉู่ฉี่กุ้ง และผัดไทย พร้อมด้วยช็อคโกแลตระดับพรีเมี่ยม และการมีเวิร์คชอปให้เลือกทำเป็นกิจกรรมที่เพิ่มประสบการณ์และความประทับใจ รวมทั้ง การเลือกทำเลโดยเลือกอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องของบรรยากาศที่เหมาะสมกับการพักผ่อน โดยมีการออกแบบตกแต่งร้านอย่างมีสไตล์
ช็อคโกแลตของที่นี่ แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.บองบอง (Bon Bons Chocolate) ช็อคโกแลตก้อนกลมรสชาติต่างๆ เช่น Black Forrest / Espresso / Coffee Bean / Dark Truffle / Grand Manter / Coconut Blanc เป็นต้น ส่วนรสชาติที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่คือผลไม้ต่างๆ เช่น เสาวรส ราสเบอรี่ มะนาว เป็นของฝากอันดับต้นๆ
2.ช็อคโกแลต บาร์ คือช็อคโกแลตแบบแท่งรสชาติต่างๆ และ3.ช็อคโกแลตครีเอทีฟ คือการสร้างสรรค์ช็อคโกแลตให้มีความแปลกใหม่ เช่น มีการถอดแม่พิมพ์จากผลไม้จริง ทำสี และแต่งกลิ่นด้วยเอสเซนเชี่ยลออยย์เป็นน้ำมันจากเปลือกของผลไม้นั้นๆ หรือช็อคโกแลตพิซซ่า ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การใช้ช็อคโกแลตทำเป็นแป้ง และมี 2 หน้าคือหน้ามิกซ์ฟรุต และหน้ามาร์ชเมโล่กับกล้วย นอกจากนี้ ยังมีเบเกอรี่หลากหลายทั้งเค้ก ขนมปัง ขนมอบ รวมถึง ไอศกรีมอิตาเลียนโฮมเมด เช่น ทาร์ทูโฟ (Tartufo) กว่า 150 รายการ และอีกประมาณ 2 เดือนข้างหน้า จะมีการเปิดให้บริการดิลิเวอรี่ขนมต่างๆ สำหรับลูกค้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอีกกลุ่มที่ไม่มีโอกาสเดินทาง
“ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นจุดนัดพบของทุกคน เพราะจะมาคนเดียวก็ได้ แต่ถ้าพาใครมาด้วยจะมีความสุขมากกว่า ไม่ว่าจะมากับครอบครัวเพื่อพักผ่อนร่วมกัน หรือปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อน มาแล้วจะได้ประสบการณ์ที่ดี ยิ่งทุกวันนี้เวลามีน้อย การไปหลายๆ ที่ เพื่อทำแต่ละอย่าง การไปเที่ยวหรือพักผ่อน ต้องตัดสินใจว่าจะนอนที่ไหน กินที่ไหน เที่ยวที่ไหน แบบไม่ให้ไกลกันเกินไป เพราะจะเสียเวลาเดินทาง แต่การมาที่นี่ที่เดียวได้ครบทุกอย่าง ทานอาหาร พักผ่อน ทำกิจกรรม ฟังดนตรีสด ผู้ชายจิบไวน์ เด็กๆ เล่นที่สนามเด็กเล่น ผู้หญิงไปทำกิจกรรม ทุกคนสามารถมีความสุขไปพร้อมๆ กัน”
นอกจากการมีรูปแบบที่ดีดังกล่าวแล้ว การบริหารจัดการที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ โดยหลักคิดในการทำธุรกิจที่เธอได้จากครอบครัว หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานด้านการขายจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจแฟชั่นมาประมาณ 4 ปี เริ่มตั้งแต่ “การทำธุรกิจครอบครัวแบบมืออาชีพ สิ่งสำคัญคือต้องไม่ก้าวก่ายกัน ทุกคนมีตำแหน่งชัดเจน ต้องทำหน้าที่จริงๆ เวลาทำงานทำจริงจัง เมื่อจบจากงานเราคือครอบครัว และไม่มี่ความสำเร็จที่เกิดจากใครคนเดียว มันมาจากการทำงานร่วมกันเสมอ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่เป็นการทำงานร่วมกันกับพนักงานด้วย ไม่ว่าในเรื่องการแก้ปัญหาต่างๆ เราฟังพนักงานเพราะเขาคือตัวหลัก ขณะที่เราเป็นฝ่ายสนับสนุน คำว่าครอบครัวนอกจากพ่อแม่พี่น้อง ยังหมายถึงพนักงานด้วย”
“ร้านเราอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยว วันธรรมดาลูกค้าไม่มากเราไม่ต้องใช้ทักษะในการบริหารเท่าไรเพราะเขาทำงานได้ตามปกติ แต่วันที่ลูกค้ามากๆ ช่วงไฮซีซั่นมาครั้งละ 500 คน เราต้องกระตุ้นอย่างมากให้เขาดูแลลูกค้า ทั้งหมดเป็นทักษะในการดูแลเขา พนักงานประมาณ 40 คน ธุรกิจนี้ขึ้นชื่อเรื่องเทิร์นโอเว่อร์ แต่เรามีทีม 80 เปอร์เซ็นต์อยู่กับเราตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้”
“คุณพ่อพูดเสมอว่าถ้าวิธีคิดถูก สิ่งที่ทำจะถูก และในการทำงานมีการกระทบกันทั้งพนักงานกันเอง และกับลูกค้า ผู้บริหารต้องทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก และทำเรื่องเล็กให้มันหายไป แรกๆ ทำไม่เป็นเราก็ตื่นเต้นตามมัน ต้องใช้เวลา 1 ปีถึงจะเข้าใจประโยคสั้นๆ นี้ เหมือนไม่สำคัญ แต่กลับใช้ได้กับทุกเรื่อง”
ในเรื่องการลงทุน วิธีคิดคือการเรียงลำดับความสำคัญก่อนว่าต้องใช้เงินกับอะไร เมื่อไร และคุมต้นทุนอย่างไร อะไรที่ต้องจ่ายก็จ่าย แต่อะไรที่ไม่ควรจ่ายต้องดูให้ดี โดยมีความคิดว่าการทำของให้สวยหรือให้ดีโดยใช้เงิน ใครๆ ก็ทำได้ แต่การทำให้ดีโดยใช้เงินน้อยเป็นเรื่องที่ดีกว่า ที่สำคัญธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้ต้องคิดเองได้ ไม่ลอกเลียนแบบใคร ต้องมีตัวตน ต้องมีความโดดเด่นและแตกต่าง ต้องทำให้ใหม่อยู่เสมอ พร้อมๆ กับการรักษามาตรฐานเดิม