ไทยยูเนี่ยนชูธงสนับสนุนพระราชกำหนดประมงฉบับใหม่และการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด ชื่นชมรัฐบาลมุ่งปรับปรุงอุตสาหกรรมประมงต่อเนื่อง ย้ำประมงไทยเดินหน้าได้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ในส่วนของบริษัทฯ เร่งออกมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองแรงงาน ยืนยันประกอบการด้วยมาตรฐานความยั่งยืนและจริยธรรมสูงสุด
รายงานข่าวจากบริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอแสดงความชื่นชมรัฐบาลไทยในการออกพระราชกำหนดการประมงฉบับใหม่ และสนับสนุนให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อปรับปรุงอุตสาหกรรมการประมงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มีวัตถุประสงค์ ในการสร้างมาตรฐานด้านธรรมภิบาลในการบริหารจัดการอุตสาหกรรมการประมง ต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU fishing) มีการติดตามตรวจสอบควบคุมการทำประมงอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) ขจัดการใช้แรงงานบังคับและปรับปรุงสภาพการทำงานและสวัสดิการแรงงาน สนับสนุนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ตลอดจนถึงการหาตัวผู้มีส่วนในการค้ามนุษย์และนำมาดำเนินการลงโทษทางกฎหมาย
ด้านนายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการออกพระราชกำหนดฉบับนี้ว่า การจะให้แน่ใจว่าอุตสาหกรรมของเราดำเนินงานด้วยความสุจริตและเคารพต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิทธิมนุษยชนจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายรัฐบาล ภาคอุตสาหกรรม ภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่อุปทาน
“พระราชกำหนดการประมงฉบับใหม่นี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการบูรณาการระบบการตรวจสอบย้อนกลับในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทย โดยเริ่มตั้งแต่เรือประมงไปจนถึงโรงงานผลิต รวมถึงการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นการสร้างมาตรฐานที่เท่าเทียมกันสำหรับผู้ประกอบการทุกราย และเป็นการกำจัดผู้ประกอบการรายใดที่ไม่ประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน หรือประกอบการอย่างไร้จริยธรรม”
“ไทยยูเนี่ยน มีความมุ่งมั่นมาตลอดที่จะให้แน่ใจว่าการประกอบการของบริษัทเราจะต้องถูกต้องตามกฎหมายทั้งไทยและสากล ดังจะประจักษ์ได้จากการที่เราเข้าร่วมเป็นเป็นสมาชิก United Nation’s Global Compact (UNGC) เข้าร่วมโครงการการปฏิบัติต่อแรงงานที่ดี (Good Labour Practices หรือ GLP ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization หรือ ILO)”
“เราได้ร่วมโครงการ GLP ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศมานานกว่าสองปีติดต่อกันแล้วเพื่อสร้างมาตรฐานการปฏิบัติงานให้ปลอดจากการใช้แรงงานเด็กหรือแรงงานบังคับ ส่งเสริมให้แรงงานทราบถึงสิทธิในการรวมกลุ่ม ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ สภาพการทำงานที่ปลอดภัย มีสวัสดิการดูแลสุขภาพ ตลอดจนได้รับเอกสารการทำงานและสัญญาว่าจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไทยยูเนี่ยนบังคับใช้มาตรฐานดังกล่าวตลอดทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน รวมไปถึงบนเรือประมง ไร่หรือฟาร์ม และผู้ผลิตในทุกระดับ”
นอกจากนี้ บริษัทยังได้บังคับใช้อีกหลายมาตรการในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อคุ้มครองแรงงาน อาทิ
•ได้เริ่มใช้จรรยาบรรณธุรกิจและแรงงานฉบับใหม่ที่เข้มงวดด้านภาระรับผิดชอบและความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างเคร่งครัดยิ่งขึ้น
•เป็นสมาชิกคณะทำงานห่วงโซ่อุปทานกุ้งที่ยั่งยืน (Shrimp Sustainable Supply Chain Task Force) ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรอุตสาหกรรมระดับสากลประกอบด้วยรัฐบาลชาติต่าง ๆ ผู้ค้า ผู้ผลิต และ เอ็นจีโอ ชั้นนำต่าง ๆ มีเป้าหมายที่จะพลักดันให้ห่วงโซ่อุปทานของไทยปลอดแรงงานบังคับ (forced labor) ด้วยวิถีทางภาระรับผิดชอบ (Accountability) การตรวจสอบยืนยัน และ ความโปร่งใส
•กำลังทำการตรวจสอบภายในถึงห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในสิ้นปี และได้รับการตรวจสอบจาก UL ผู้ตรวจสอบอิสระภายในปี 2559
•เริ่มการอบรบอย่างเป็นทางการสำหรับเรือหาปลาไทย และ บริษัทนายหน้าไทย สำหรับวัตถุดิบของไทยทั้งหมด โดยจะอบรมให้ครบถ้วนภายในสิ้นปีนี้
•กำลังดำเนินการปรับเปลี่ยน pre-processing ให้มีการดำเนินการภายในโรงงานของเราเองทั้งหมดเพื่อสร้างความมั่นใจในมาตรฐานการผลิต และเพื่อควบคุมมาตรฐานการใช้แรงงาน
•ร่วมมือกับเครือข่ายสิทธิแรงงานข้ามชาติ (Migrant Worker Rights Network -MWRN) ในการดำเนินการอบรมแรงงานข้ามชาติให้ทราบและเข้าใจถึงสิทธิที่พึงมีตามกฎหมายไทย ทั้งนี้ พนักงานข้ามชาติของไทยยูเนี่ยน ทุกคนทั่วประเทศจะได้รับการอบรมดังกล่าวภายในกลางปี 2559
•ร่วมมือกับกับมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Rights Protection Network หรือ LPN) ในโครงการให้คำปรึกษา ให้ความรู้ ความช่วยเหลือทางการแพทย์ ที่พักอาศัย และ การว่าจ้างแรงงานไทยที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในต่างแดน
•ดำเนินการจัดอบรมแรงงานข้ามชาติเพื่อสนับสนุนให้พวกเขาได้ส่งลูกหลานเข้ารับการศึกษาในโรงเรียน
นายธีรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ขอย้ำอีกครั้งว่านอกจากเรายังมีความมุ่งมั่นในการประกอบการด้วยมาตรฐานความยั่งยืนและจริยธรรมสูงสุด เรายังมีความตั้งใจในการทำงานร่วมกับภาครัฐ คู่ค้า และ ผู้ประกอบการทุกรายในอุตสาหกรรม เพื่อช่วยกันขจัดปัญหาการละเมิดแรงงานเหล่านี้ และปรับปรุงพัฒนาอุตสาหกรรมให้ก้าวหน้าต่อไป เราขอสนับสนุนการกวดขันบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดที่สุด และขอคำมั่นจากผู้ประกอบการทุกรายให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง สำหรับเราแล้วนี้หมายถึงการประกอบการด้วยความโปร่งใสและรับผิดชอบที่สุด”
พระราชกำหนดฉบับดังกล่าวได้ระบุถึงมาตรการการลงโทษและแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และ ขจัดการปฏิบัติต่อแรงงานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปจากอุตสาหกรรมประมง เช่น หากมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชกำหนดนี้สามารถถูกลงโทษด้วยการสั่งพักใบอนุญาตเป็นเวลาถึง 90 วัน และหากมีการกระทำความผิดซ้ำจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตได้
นอกจากนี้ ยังมีบทลงโทษอื่นๆสำ หรับผู้ฝ่าฝืน รวมทั้ง มาตรการต่างๆ ดังนี้
•การกำหนดโทษทางอาญามีค่าปรับสูงถึง 30 ล้านบาท หรือคิดเป็นห้าเท่าของมูลค่าของสัตว์น้ำที่จับได้แล้วแต่ว่าอย่างใดมีมูลค่าสูงกว่า และหากพบว่ามีการกระทำความผิดซื้อภายในระยะเวลาห้าปีค่าปรับจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว
•เจ้าของเรือประมงรายใดไม่ออกใบอนุญาตทำงานแก่ลูกเรือจะมีโทษปรับสูงถึง 8แสนบาทต่อลูกเรือหนึ่งคน และยังเพิกถอนใบอนุญาตของเจ้าของเรือและใบอนุญาตของเรืออีกด้วย
•โรงงานใดที่ใช้แรงงานผิดกฎหมาย รวมถึงแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายจะถูกปรับสูงถึง 8แสนบาท หากพบว่ามีการใช้แรงงานผิดกฎหมายระหว่าง 1 ถึง 5 คนจะถูกระงับการประกอบกิจการ 10 ถึง 30 วัน และหากพบว่ามีการใช้แรงงานผิดกฎหมายมากกว่า 5 คนจะถูกปิดโรงงาน ทั้งนี้ผู้ประกอบกิจการที่ละเมิดกฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือใช้แรงงานผิดกฎหมายยังต้องโทษทางอาญา มีโทษจำคุกถึงสองปี หรือปรับระหว่าง 2 แสนถึง 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังต้องเสียค่าปรับรายวันอีกวันละ 1- 5 แสนบาทตลอดห้วงเวลาที่กระทำความผิดอีกด้วย