xs
xsm
sm
md
lg

พีดับบลิวซี ชี้ทางรอดธุรกิจที่ปรึกษารายเล็กต้องจับมือพันธมิตร ขณะที่รายใหญ่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับอาเซียน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วิไลพร ทวีลาภพันทอง
พีดับบลิวซี ประกาศตั้งธุรกิจร่วมทุนให้บริการธุรกิจที่ปรึกษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับบริษัทในเครือข่ายจากนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกาและในภูมิภาคเดียวกัน ตั้งเป้ารุกธุรกิจที่ปรึกษาในตลาดอาเซียนในอีก 3-5 ปีข้างหน้า พร้อมยกระดับคุณภาพบริการ บุคลากร และขยายฐานลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ หลังคาดการณ์ว่าแนวโน้มดีมานต์ตลาดที่ปรึกษาในอาเซียนจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในระยะข้างหน้า
บริษัท พีดับบลิวซี ได้เปิดตัวธุรกิจร่วมทุนใหม่ อย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อ South East Asia Consulting Joint Venture หรือ SEAC โดยมีวัตถุประสงค์เสริมสร้างความแข็งแกร่งของงานด้านที่ปรึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูง นอกจากนี้ ยังได้รับแรงขับเคลื่อนจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่กำลังจะมาถึงในปี 2559 ซึ่งจะทำให้มีประชากรมากขึ้นกว่า 500 ล้านคน และกลายเป็นแหล่งการค้าการลงทุนที่สำคัญ และเป็นที่จับตามองของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มมากขึ้น
นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท พีดับบลิวซี ประเทศไทย เปิดเผยถึงการปรับโครงสร้างทางธุรกิจงานด้านที่ปรึกษาผ่านการร่วมทุนในครั้งนี้ว่า บริษัทในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายในภูมิภาค ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับบริษัทในเครือฯ อื่นๆในอันที่จะยกระดับขีดความสามารถและประสิทธิภาพในการทำธุรกิจให้มากขึ้น ซึ่งพีดับบลิวซีประเทศไทยจะได้รับประโยชน์หลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการลูกค้าในระดับภูมิภาคมากขึ้น โดยจะมีการแชร์และบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลของพีดับบลิวซีในแต่ละสำนักงานทั่วโลก เพื่อให้สามารถทำงานให้แก่ลูกค้าในแต่ละโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายตลาด ครอบคลุมทั้งลูกค้าคนไทย ลูกค้าในภูมิภาค รวมถึงลูกค้าข้ามชาติขนาดใหญ่ด้วย
“เป้าหมายการปรับโครงสร้างในครั้งนี้คือ ต้องการจะกระตุ้น Growth และฉวยโอกาสในการปูทางไปสู่การเปิดตลาด Cousulting ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ซึ่งสอดรับกับยุทธศาสตร์ของบริษัทที่จะขยายการให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในและนอกภูมิภาค ซึ่งอาเซียนถือเป็นภูมิภาคหนึ่งในโลกที่มีการเติบโตเร็วมากที่สุด” นายศิระกล่าว
ในส่วนของพีดับบลิวซี ประเทศไทย บริษัทจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในโครงการดังกล่าว โดยทำงานร่วมกับพีดับบลิวซีในประเทศอื่นๆ ประกอบด้วย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เมียนมาร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ลาว และ กัมพูชา โดยการร่วมทุนนี้มีสัดส่วนการลงทุนมาจากพีดับบลิวซีในอาเซียนอยู่ประมาณ 70% และ 30% จากพีดับบลิวซีในประเทศพัฒนาแล้ว อย่างนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และ สหรัฐอเมริกา
ด้านนางสาววิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา และหนึ่งในฐานะผู้นำโครงการจากประเทศไทย กล่าวว่า การปรับโครงสร้างทางธุรกิจในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถยกระดับงานด้านที่ปรึกษาไปสู่อีกขั้น ตอบรับกับการแข่งขันที่ท้าทายในยุคปัจจุบัน ท่ามกลางสภาวการณ์ที่เงินทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าสู่ภูมิภาคในระยะยาวไม่ว่าจากจีน ญี่ปุ่น หรือ สหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะเห็นสัญญาณการชะลอตัวอยู่บ้างในช่วงที่ผ่านมา
“บริษัทมองว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็น next frontier ของการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง รูปแบบการค้าการลงทุนโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจากอิทธิพลตะวันตกมาสู่ตลาดเกิดใหม่มากขึ้น อีกทั้งภูมิต้านทานต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่มีมากของบรรดาธุรกิจในภูมิภาค ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานที่มีนัยสำคัญต่อการเติบโตในอนาคตในระยะต่อไป อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-8% ระหว่างปี 2552-2556 และยังมีการคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตจะยิ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า” นางสาววิไลพรกล่าว
สำหรับธุรกิจที่ปรึกษาอาเซียนถือเป็นตลาดหนึ่งที่มีการเติบโตรวดเร็วและมีการแข่งขันมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งจะเห็นว่า มีบริษัทที่ปรึกษาทั้งขนาดเล็กและใหญ่ของโลกประกอบธุรกิจอยู่ในภูมิภาคกันเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมา มีการสำรวจกันว่าตลาด Consulting ในอาเซียนมีมูลค่ารวมกันอยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2555
เดเร็ก คิดลีย์
ด้านนายเดเร็ก คิดลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโครงการร่วมทุนธุรกิจที่ปรึกษาของพีดับบลิวซี กล่าวว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้ จะช่วยสร้างรากฐานงานที่ปรึกษาของบริษัทให้ไปสู่การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยจะช่วยให้บริษัทสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าลูกค้าจะประกอบธุรกิจอยู่ที่ใดในโลก
สิ่งหนึ่งที่เห็นจากการทำงานกับลูกค้าในช่วงที่ผ่านมา คือ ดีมานด์ของภาคธุรกิจที่ต้องการมีผู้เชี่ยวชาญ หรือ ที่ปรึกษาในการให้คำแนะนำและความช่วยเหลือในด้านต่างๆ เวลาขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ โดยกลุ่มประเทศ CLMV เช่น พม่า เมื่อภูมิภาคยิ่งบูม ธุรกิจยิ่งโต ยิ่งจำเป็นที่ธุรกิจจะต้องมีความสามารถในการ Identify โอกาสและความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที ซึ่งการปรับโครงสร้างตรงนี้จะช่วยให้สนับสนุนลูกค้าและตอบโจทย์ความต้องการได้ดีขึ้น
การทำงานภายใต้การปรับโครงสร้างใหม่ จะมีจุดโฟกัสไปที่การแชร์ Resource ทั้งในแง่ของกำลังพล และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ จะมีการทำงานกันแบบ Streamline และเป็นภูมิภาคมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าได้รับคำปรึกษาที่ดีที่สุดที่จะช่วยต่อยอดทางธุรกิจหรือสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อไป
นายเดเร็ก กล่าวว่า บริการธุรกิจที่ปรึกษาหลักที่น่าจะเข้ามามีบทบาทและได้รับความนิยมมากที่สุดในอาเซียน ได้แก่ การบริหารจัดการบุคลากรในองค์กร (Talent) ดิจิตัลเทคโนโลยี (Digital technology) และการพัฒนาความยั่งยืนองค์กร (Sustainability)
นายเดเร็กคาดว่า อุตสาหกรรมธุรกิจที่ปรึกษาจะเห็นการควบรวม (Consolidation) กันมากขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทที่ปรึกษาขนาดเล็ก (Boutique) จะได้รับแรงกดดันให้ต้องเพิ่มขีดความสามารถหรือหาพันธมิตรเพื่อความอยู่รอด ในขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่ก็อาจจะต้องมีการปรับโครงสร้างการทำธุรกิจโดยจับกลุ่มลูกค้าและบริการให้เป็นระดับภูมิภาคมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น