เฮย์กรุ๊ป เผยหัวหน้าตัวการใหญ่ขวางทางองค์กรเติบโต บั่นทอนอารมณ์คนทำงาน ผลสำรวจชี้ชัดพนักงาน 2 ใน 3 ของพนักงานทั่วโลกเท่านั้นที่ผูกพันกับองค์กร ส่วนที่เหลือพร้อมลาออกก่อนเวลา 5 ปี
บริษัท เฮย์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงผลการศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน (Engagement) และระดับการสนับสนุนพนักงาน (Enablement) ประจำปีนี้ว่า จากการสำรวจ 1,610 องค์กร ในกว่า 46 ประเทศ และเป็นตัวแทนพนักงานถึงกว่า 5 ล้านคน พบว่า ระดับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานทั่วโลกมีระยะเวลาลดลงจากปีที่ผ่านมา จากที่ในอดีตพนักงานมีความต้องการจะอยู่กับบริษัทเป็นเวลา 5 ปี แต่ความต้องการในปัจจุบันลดลงไปต่ำกว่านั้น ซึ่งระดับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานทั่วโลกที่ลดลงเรื่อยๆ เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2007 และลดลงเหลือเพียง 2 ใน 3 คิดเป็น 65% ในปีที่ผ่านมา
“ประสิทธิภาพขององค์กรเริ่มที่จะชะลอลง ด้วยสาเหตุที่ว่าบุคลากร 3 ใน 4 ของบุคลากรทั่วโลกนั้นไม่มีความต้องการและไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้”
ผลการศึกษาในปีนี้แสดงให้เห็นว่ามีเพียง 66% ของพนักงานที่มีความรู้สึกผูกพันกับองค์กร และลดลงเล็กน้อยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่ถือได้ว่าเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับในกลุ่มบริษัทที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดของโลก ซึ่งมีระดับความผูกพันในองค์กรสูงถึง 75%
บุคลากรมากกว่า 3 ใน 4 ของบุคลากรในองค์กร กล่าวว่า พวกเขาไม่สามารถที่จะใช้ประสิทธิภาพของตนในการทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยเฉลี่ยประมาณ 33% ของบุคลากรทั้งหมดอ้างว่า พวกเขาพบอุปสรรคในที่ทำงานซึ่งเป็นตัวการขัดขวางทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
นายมาร์ค รอเยล เจ้าหน้าที่วางแผนยุทธศาสตร์องค์กรอาวุโส และผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Enemy of Engagement กล่าวว่า ในช่วง 2 ถึง 3 ปีที่ผ่านมาเห็นว่าการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานทั่วโลกลดลง ซึ่งเห็นได้ว่าในปี 2008 องค์กรเริ่มเกิดความหยุดนิ่งในเรื่องนี้ ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จขององค์กรใหญ่หลายๆ องค์กรที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานนั้น จุดสำคัญคือการที่องค์กรทั่วโลกต้องการที่จะให้พนักงานนั้นสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด”
ความผูกพันต่อองค์กรเริ่มหยุดนิ่ง
ยุโรปและเอเชียแปซิฟิกต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ภายในองค์กรเรื่องการขาดความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กร ซึ่งระดับของความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรลดลงต่ำกว่า 5 ปี คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เพียง 63% ของบุคลากรทั้งหมด ระดับความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรในทวีปเอเชียยังคงอยู่ที่ 63% แม้ว่าตัวเลขนั้นจะแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นเพียง 1% ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
นางนงนุช อบสุวรรณ ที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท เฮย์กรุ๊ป กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยหลายปีที่ผ่านมาองค์กรไม่ได้ให้ความสำคัญหรือจริงจังกับการสร้างความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรมากนัก ทั้งนี้ ผู้บริหารขององค์กรต่างมุ่งเน้นในเรื่องของผลงานในรูปแบบของผลประกอบการขององค์กร ซึ่งอาจทำให้หลงลืมไปว่า บุคลากรเป็นทรัพยากรบุคคลที่เป็นปัจจัยสำคัญในการนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย ดังนั้น เราจะเห็นแนวโน้มในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่ปีที่แล้ว องค์กรต่างให้ความสำคัญกับบุคลากรมากขึ้นไม่แค่เฉพาะการจัดการฝึกอบรมที่เพิ่มมากขึ้น แต่ยังเน้นความสำคัญในการสร้างความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร
จากการศึกษาพบว่า ปัญหาใหญ่ๆ ภายในองค์กรที่ทำให้พนักงานขาดความผูกพันต่อองค์กร คือ การขาดความเชื่อมั่นในตัวผู้นำขององค์กรนั้นๆ ที่จะนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายตามที่องค์กรต้องการ รวมถึงบทบาทความเป็นผู้นำของหัวหน้างาน (Leadership) ที่ดี ในการบริหารงานและการสร้างแรงบันดาลใจลูกน้อง รวมถึงจูงใจในการสร้างสรรค์หรือทำงานที่ดีๆ ให้องค์กรได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ
ดังนั้น เรื่องของความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรเป็นอีกเรื่องที่ในปัจจุบันหลายๆ องค์กรพยายามสร้างให้เกิดขึ้น จึงมีการจัดทำการสำรวจทัศนคติและสำรวจความผูกพันของพนักงานในองค์กรต่างๆ กันมากมาย แต่ทั้งนี้ แค่ความผูกพันของพนักงานอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้แน่ใจว่าสิ่งนี้สามารถนำพาไปสู่จุดหมายที่องค์กรต้องการได้ แต่อีกปัจจัยคือองค์กรต้องแน่ใจว่าได้ให้การสนับสนุนพนักงานอย่างเหมาะสมในการที่จะสนับสนุนการทำงานของเขาที่จะทำให้พนักงานเหล่านั้นสามารถแสดงศักยภาพที่ดีที่สุดในการทำงานได้อย่างเต็มที่
ผลที่ได้จากการทำการสำรวจ องค์กรสามารถนำมากำหนดแนวทางในการบริหารจัดการบุคลากรขององค์กรให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพที่จะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้เป้าหมายขององค์กรสำเร็จได้อย่างดียิ่ง
ในแถบประเทศตะวันออกกลาง ความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานชะงักอยู่ที่ 64% ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างมากในปี 2008
อเมริกาใต้ผู้นำการสร้างความผูกพัน
ประเทศแถบอเมริกาใต้ถือได้ว่ามีอนาคตที่สดใสในเรื่องความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน ระดับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานตอนนี้มีอยู่เกือบ 3 ใน 4 หรือคิดเป็น 73% ของบุคลากรทั้งหมดเท่ากับปี 2008 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ในส่วนของประเทศแถบอเมริกาเหนือนั้นมีเปอร์เซ็นต์ลดลงมา 3% ในปี 2009 แต่ก็ยังถือได้ว่าเปอร์เซ็นต์นั้นสูงกว่าเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 69%
ในประเทศแถบอเมริกาใต้นั้นถือได้ว่าตัวเลขเป็นที่น่าประทับใจซึ่งคิดเป็น 3 ใน 4 หรือ 74% ของบุคลากรที่รู้สึกว่าได้รับการกระตุ้นให้มีการทำงานนอกเหนือจากหน้าที่ที่ต้องทำประจำวัน ซึ่งคิดเป็น 66% ของบุคลากรเมื่อเทียบกับในยุโรปและตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ อเมริกาใต้ยังคงครองแชมป์ในส่วนของระดับความภูมิใจของพนักงานที่มีต่อองค์กร โดยคิดเป็นจำนวน 4 ใน 5 ของพนักงาน หรือเท่ากับ 86% ซึ่งพนักงานนั้นรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำงานให้กับบริษัทของตน
สภาพแวดล้อมส่งผลคนทำงานด้อย
ข้อมูลจาก เฮย์กรุ๊ป นั้นยังแสดงข้อมูลให้เห็นถึงการทำงานของพนักงานทั่วโลก ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนในการทำงาน และไม่สามารถที่จะแสดงศักยภาพของตนได้เต็มที่ โดยพนักงานน้อยกว่า 2 ใน 3 ทั่วโลก ซึ่งคิดเป็น 62% รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานทำให้พวกเขาสามารถสร้างผลงานได้มากเท่าที่พวกเขาจะทำได้ ซึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นลดลงเหลือเพียง 58% ในยุโรปและตะวันออกกลาง
ในอเมริกาใต้นั้นมีเปอร์เซ็นต์ของบุคลากรที่รู้สึกมีแรงกระตุ้นในการทำงานนอกเหนือจากงานที่ได้รับคิดเป็น 74% มีเพียง 61% ที่รู้สึกว่าองค์กรได้จัดสรรบรรยากาศในการทำงานเพื่อทำให้พนักงานทำงานได้อย่างดีที่สุด ซึ่งเป็นแนวโน้มของทั่วโลก
นายรอเยลกล่าวอีกว่า จะเห็นว่าองค์กรมีช่องว่างที่ทำให้รับมือได้ยากระหว่างคำว่าความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการทำงานของพนักงานกับการสนับสนุนพนักงาน ซึ่งช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างดีขึ้น สำหรับองค์กรที่กำลังต้องการควบคุมประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากร การที่องค์กรไม่ได้ให้ความสำคัญในการนำศักยภาพที่มีของพนักงานไปใช้ประโยชนนั้นถือได้ว่าเป็นการสูญเสียโอกาสขององค์กร
“การสร้างแรงผลักดันให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานอย่างแท้จริง ผู้บริหารจะต้องมีความเข้าใจบทบาทของตนในการที่จะสนับสนุนพนักงานให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ณ ตอนนั้น เพื่อที่จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อองค์กร โดยขจัดอุปสรรคอันเป็นตัวการขัดขวางในการทำงานของพนักงานและทำให้องค์กรถดถอย”
ความจงรักภักดีต่อองค์กรลดลง
ผลสำรวจพบว่า ระดับความมุ่งมั่นของบุคลากรที่จะร่วมงานกับบริษัทของตนนั้นลดลงเหลือเพียง 5 ปี ในภูมิภาคหลักๆ ของโลก และมากกว่า 44% ของบุคลากรทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะทำงานกับบริษัทของตนเพียงแค่ 5 ปี ซึ่ง 21% ของบุคลากรนั้นมีแนวโน้มที่จะอยู่กับบริษัทที่ตนเองทำงานน้อยกว่า 2 ปี
สำหรับระดับความมุ่งมั่นในการทำงานของพนักงานมีค่อนข้างสูงในประเทศแถบอเมริกาเหนือ เห็นได้จากตัวเลขพบว่ามีมากถึง 62% ที่มีความต้องการที่จะอยู่กับบริษัทของตนมากกว่า 5 ปี อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนั้นลดลง 5% ในปีที่ผ่านมา ส่วนประเทศในแถบแปซิฟิกนั้น 54% ของบุคลากรมีแนวโน้มที่จะทำงานอยู่กับบริษัทของตนเป็นระยะเวลา 5 ปี
ทั้งนี้ นางนงนุชเห็นว่า มีแนวโน้มว่าพนักงานจะมีความจงรักภักดีที่จะอยู่กับองค์กรลดน้อยลงต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะพนักงานที่เป็น Generation Y คงเป็นเรื่องยากสำหรับองค์กรที่จะมีพนักงานที่มีความจงรักภักดีกับองค์กรอย่างอดีตของพนักงานที่เป็น Generation Baby Boom หรือ Generation x
หลายองค์กรมองว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายองค์กรในการที่จะสร้างความจงรักภักดีของพนักงานรุ่นหลังๆ ของ Generation x หรือ Generation y ให้มีความจงรักภักดีเหมือนเช่นอดีต โดยเฉพาะในสภาวการณ์ของตลาดแรงงานที่คนวัยทำงานมีน้อยลง แต่ความต้องการของตลาดมีมากขึ้น
นายรอเยลกล่าวด้วยว่า ความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานและการสนับสนุนพนักงานในระดับต่ำกำลังบั่นทอนประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจขององค์กรทั่วโลก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นับได้ว่านี่เป็นความท้าทายใหม่ที่องค์กรต่างๆ จะต้องเอาชนะเพื่อลดอัตราการเปลี่ยนงานของพนักงานให้ได้
ในสภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่การหางานที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถเป็นสิ่งที่ยากลำบากขึ้น ทำให้อัตราการออกจากงานนั้นลดต่ำลง เนื่องจากพนักงานกลัวความเสี่ยงที่จะตกงาน จึงส่งผลให้พนักงานมีความคับข้องใจเนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนงานได้ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 2 ใน 5 ของพนักงานทั้งหมด
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในตลาดแรงงานทำให้เกิดโอกาสที่จะสร้างความเคลื่อนไหวให้กับพนักงาน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าพนักงานที่มีศักยภาพและทำงานได้ดีเหล่านี้ จะเป็นพนักงานกลุ่มแรกๆที่ลาออกจากงานก่อน ถ้าบริษัทหรือองค์กรที่เขาอยู่นั้นไม่ได้ให้การสนับสนุนศักยภาพของพวกเขาได้อย่างที่เขาต้องการ
บริษัท เฮย์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงผลการศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน (Engagement) และระดับการสนับสนุนพนักงาน (Enablement) ประจำปีนี้ว่า จากการสำรวจ 1,610 องค์กร ในกว่า 46 ประเทศ และเป็นตัวแทนพนักงานถึงกว่า 5 ล้านคน พบว่า ระดับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานทั่วโลกมีระยะเวลาลดลงจากปีที่ผ่านมา จากที่ในอดีตพนักงานมีความต้องการจะอยู่กับบริษัทเป็นเวลา 5 ปี แต่ความต้องการในปัจจุบันลดลงไปต่ำกว่านั้น ซึ่งระดับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานทั่วโลกที่ลดลงเรื่อยๆ เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2007 และลดลงเหลือเพียง 2 ใน 3 คิดเป็น 65% ในปีที่ผ่านมา
“ประสิทธิภาพขององค์กรเริ่มที่จะชะลอลง ด้วยสาเหตุที่ว่าบุคลากร 3 ใน 4 ของบุคลากรทั่วโลกนั้นไม่มีความต้องการและไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้”
ผลการศึกษาในปีนี้แสดงให้เห็นว่ามีเพียง 66% ของพนักงานที่มีความรู้สึกผูกพันกับองค์กร และลดลงเล็กน้อยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่ถือได้ว่าเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับในกลุ่มบริษัทที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดของโลก ซึ่งมีระดับความผูกพันในองค์กรสูงถึง 75%
บุคลากรมากกว่า 3 ใน 4 ของบุคลากรในองค์กร กล่าวว่า พวกเขาไม่สามารถที่จะใช้ประสิทธิภาพของตนในการทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยเฉลี่ยประมาณ 33% ของบุคลากรทั้งหมดอ้างว่า พวกเขาพบอุปสรรคในที่ทำงานซึ่งเป็นตัวการขัดขวางทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
นายมาร์ค รอเยล เจ้าหน้าที่วางแผนยุทธศาสตร์องค์กรอาวุโส และผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Enemy of Engagement กล่าวว่า ในช่วง 2 ถึง 3 ปีที่ผ่านมาเห็นว่าการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานทั่วโลกลดลง ซึ่งเห็นได้ว่าในปี 2008 องค์กรเริ่มเกิดความหยุดนิ่งในเรื่องนี้ ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จขององค์กรใหญ่หลายๆ องค์กรที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานนั้น จุดสำคัญคือการที่องค์กรทั่วโลกต้องการที่จะให้พนักงานนั้นสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด”
ความผูกพันต่อองค์กรเริ่มหยุดนิ่ง
ยุโรปและเอเชียแปซิฟิกต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ภายในองค์กรเรื่องการขาดความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กร ซึ่งระดับของความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรลดลงต่ำกว่า 5 ปี คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เพียง 63% ของบุคลากรทั้งหมด ระดับความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรในทวีปเอเชียยังคงอยู่ที่ 63% แม้ว่าตัวเลขนั้นจะแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นเพียง 1% ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
นางนงนุช อบสุวรรณ ที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท เฮย์กรุ๊ป กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยหลายปีที่ผ่านมาองค์กรไม่ได้ให้ความสำคัญหรือจริงจังกับการสร้างความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรมากนัก ทั้งนี้ ผู้บริหารขององค์กรต่างมุ่งเน้นในเรื่องของผลงานในรูปแบบของผลประกอบการขององค์กร ซึ่งอาจทำให้หลงลืมไปว่า บุคลากรเป็นทรัพยากรบุคคลที่เป็นปัจจัยสำคัญในการนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย ดังนั้น เราจะเห็นแนวโน้มในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่ปีที่แล้ว องค์กรต่างให้ความสำคัญกับบุคลากรมากขึ้นไม่แค่เฉพาะการจัดการฝึกอบรมที่เพิ่มมากขึ้น แต่ยังเน้นความสำคัญในการสร้างความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร
จากการศึกษาพบว่า ปัญหาใหญ่ๆ ภายในองค์กรที่ทำให้พนักงานขาดความผูกพันต่อองค์กร คือ การขาดความเชื่อมั่นในตัวผู้นำขององค์กรนั้นๆ ที่จะนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายตามที่องค์กรต้องการ รวมถึงบทบาทความเป็นผู้นำของหัวหน้างาน (Leadership) ที่ดี ในการบริหารงานและการสร้างแรงบันดาลใจลูกน้อง รวมถึงจูงใจในการสร้างสรรค์หรือทำงานที่ดีๆ ให้องค์กรได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ
ดังนั้น เรื่องของความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรเป็นอีกเรื่องที่ในปัจจุบันหลายๆ องค์กรพยายามสร้างให้เกิดขึ้น จึงมีการจัดทำการสำรวจทัศนคติและสำรวจความผูกพันของพนักงานในองค์กรต่างๆ กันมากมาย แต่ทั้งนี้ แค่ความผูกพันของพนักงานอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้แน่ใจว่าสิ่งนี้สามารถนำพาไปสู่จุดหมายที่องค์กรต้องการได้ แต่อีกปัจจัยคือองค์กรต้องแน่ใจว่าได้ให้การสนับสนุนพนักงานอย่างเหมาะสมในการที่จะสนับสนุนการทำงานของเขาที่จะทำให้พนักงานเหล่านั้นสามารถแสดงศักยภาพที่ดีที่สุดในการทำงานได้อย่างเต็มที่
ผลที่ได้จากการทำการสำรวจ องค์กรสามารถนำมากำหนดแนวทางในการบริหารจัดการบุคลากรขององค์กรให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพที่จะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้เป้าหมายขององค์กรสำเร็จได้อย่างดียิ่ง
ในแถบประเทศตะวันออกกลาง ความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานชะงักอยู่ที่ 64% ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างมากในปี 2008
อเมริกาใต้ผู้นำการสร้างความผูกพัน
ประเทศแถบอเมริกาใต้ถือได้ว่ามีอนาคตที่สดใสในเรื่องความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน ระดับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานตอนนี้มีอยู่เกือบ 3 ใน 4 หรือคิดเป็น 73% ของบุคลากรทั้งหมดเท่ากับปี 2008 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ในส่วนของประเทศแถบอเมริกาเหนือนั้นมีเปอร์เซ็นต์ลดลงมา 3% ในปี 2009 แต่ก็ยังถือได้ว่าเปอร์เซ็นต์นั้นสูงกว่าเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 69%
ในประเทศแถบอเมริกาใต้นั้นถือได้ว่าตัวเลขเป็นที่น่าประทับใจซึ่งคิดเป็น 3 ใน 4 หรือ 74% ของบุคลากรที่รู้สึกว่าได้รับการกระตุ้นให้มีการทำงานนอกเหนือจากหน้าที่ที่ต้องทำประจำวัน ซึ่งคิดเป็น 66% ของบุคลากรเมื่อเทียบกับในยุโรปและตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ อเมริกาใต้ยังคงครองแชมป์ในส่วนของระดับความภูมิใจของพนักงานที่มีต่อองค์กร โดยคิดเป็นจำนวน 4 ใน 5 ของพนักงาน หรือเท่ากับ 86% ซึ่งพนักงานนั้นรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำงานให้กับบริษัทของตน
สภาพแวดล้อมส่งผลคนทำงานด้อย
ข้อมูลจาก เฮย์กรุ๊ป นั้นยังแสดงข้อมูลให้เห็นถึงการทำงานของพนักงานทั่วโลก ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนในการทำงาน และไม่สามารถที่จะแสดงศักยภาพของตนได้เต็มที่ โดยพนักงานน้อยกว่า 2 ใน 3 ทั่วโลก ซึ่งคิดเป็น 62% รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานทำให้พวกเขาสามารถสร้างผลงานได้มากเท่าที่พวกเขาจะทำได้ ซึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นลดลงเหลือเพียง 58% ในยุโรปและตะวันออกกลาง
ในอเมริกาใต้นั้นมีเปอร์เซ็นต์ของบุคลากรที่รู้สึกมีแรงกระตุ้นในการทำงานนอกเหนือจากงานที่ได้รับคิดเป็น 74% มีเพียง 61% ที่รู้สึกว่าองค์กรได้จัดสรรบรรยากาศในการทำงานเพื่อทำให้พนักงานทำงานได้อย่างดีที่สุด ซึ่งเป็นแนวโน้มของทั่วโลก
นายรอเยลกล่าวอีกว่า จะเห็นว่าองค์กรมีช่องว่างที่ทำให้รับมือได้ยากระหว่างคำว่าความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการทำงานของพนักงานกับการสนับสนุนพนักงาน ซึ่งช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างดีขึ้น สำหรับองค์กรที่กำลังต้องการควบคุมประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากร การที่องค์กรไม่ได้ให้ความสำคัญในการนำศักยภาพที่มีของพนักงานไปใช้ประโยชนนั้นถือได้ว่าเป็นการสูญเสียโอกาสขององค์กร
“การสร้างแรงผลักดันให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานอย่างแท้จริง ผู้บริหารจะต้องมีความเข้าใจบทบาทของตนในการที่จะสนับสนุนพนักงานให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ณ ตอนนั้น เพื่อที่จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อองค์กร โดยขจัดอุปสรรคอันเป็นตัวการขัดขวางในการทำงานของพนักงานและทำให้องค์กรถดถอย”
ความจงรักภักดีต่อองค์กรลดลง
ผลสำรวจพบว่า ระดับความมุ่งมั่นของบุคลากรที่จะร่วมงานกับบริษัทของตนนั้นลดลงเหลือเพียง 5 ปี ในภูมิภาคหลักๆ ของโลก และมากกว่า 44% ของบุคลากรทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะทำงานกับบริษัทของตนเพียงแค่ 5 ปี ซึ่ง 21% ของบุคลากรนั้นมีแนวโน้มที่จะอยู่กับบริษัทที่ตนเองทำงานน้อยกว่า 2 ปี
สำหรับระดับความมุ่งมั่นในการทำงานของพนักงานมีค่อนข้างสูงในประเทศแถบอเมริกาเหนือ เห็นได้จากตัวเลขพบว่ามีมากถึง 62% ที่มีความต้องการที่จะอยู่กับบริษัทของตนมากกว่า 5 ปี อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนั้นลดลง 5% ในปีที่ผ่านมา ส่วนประเทศในแถบแปซิฟิกนั้น 54% ของบุคลากรมีแนวโน้มที่จะทำงานอยู่กับบริษัทของตนเป็นระยะเวลา 5 ปี
ทั้งนี้ นางนงนุชเห็นว่า มีแนวโน้มว่าพนักงานจะมีความจงรักภักดีที่จะอยู่กับองค์กรลดน้อยลงต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะพนักงานที่เป็น Generation Y คงเป็นเรื่องยากสำหรับองค์กรที่จะมีพนักงานที่มีความจงรักภักดีกับองค์กรอย่างอดีตของพนักงานที่เป็น Generation Baby Boom หรือ Generation x
หลายองค์กรมองว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายองค์กรในการที่จะสร้างความจงรักภักดีของพนักงานรุ่นหลังๆ ของ Generation x หรือ Generation y ให้มีความจงรักภักดีเหมือนเช่นอดีต โดยเฉพาะในสภาวการณ์ของตลาดแรงงานที่คนวัยทำงานมีน้อยลง แต่ความต้องการของตลาดมีมากขึ้น
นายรอเยลกล่าวด้วยว่า ความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานและการสนับสนุนพนักงานในระดับต่ำกำลังบั่นทอนประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจขององค์กรทั่วโลก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นับได้ว่านี่เป็นความท้าทายใหม่ที่องค์กรต่างๆ จะต้องเอาชนะเพื่อลดอัตราการเปลี่ยนงานของพนักงานให้ได้
ในสภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่การหางานที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถเป็นสิ่งที่ยากลำบากขึ้น ทำให้อัตราการออกจากงานนั้นลดต่ำลง เนื่องจากพนักงานกลัวความเสี่ยงที่จะตกงาน จึงส่งผลให้พนักงานมีความคับข้องใจเนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนงานได้ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 2 ใน 5 ของพนักงานทั้งหมด
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในตลาดแรงงานทำให้เกิดโอกาสที่จะสร้างความเคลื่อนไหวให้กับพนักงาน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าพนักงานที่มีศักยภาพและทำงานได้ดีเหล่านี้ จะเป็นพนักงานกลุ่มแรกๆที่ลาออกจากงานก่อน ถ้าบริษัทหรือองค์กรที่เขาอยู่นั้นไม่ได้ให้การสนับสนุนศักยภาพของพวกเขาได้อย่างที่เขาต้องการ