xs
xsm
sm
md
lg

"อนุทิน" นำแถลงผลงานสกัดกั้นจับกุมยาเสพติด 3 คดีสำคัญ-รวบขบวนการทุจริตทำหลักฐานเท็จสวมสิทธิสัญชาติไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เชียงใหม่ - "อนุทิน" นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำแถลงผลปฏิบัติการสกัดกั้นปราบปรามยาเสพติดชายแดนภาคเหนือ จับกุม 3 คดีสำคัญในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 ของกลางยาบ้ากว่า 11 ล้านเม็ด และไอซ์กว่า 500 กิโลกรัม นอกจากนี้จับกุมเครือข่ายขบวนการทุจริตการให้สัญชาติไทยแก่คนต่างด้าวในพื้นที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและนายหน้าเอี่ยวสวมสิทธิทำเอกสารเท็จเรียกรับผลประโยชน์


วันนี้ (20 พ.ย. 68) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำคณะ พร้อมด้วยพลตำรวจโท กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และนายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงผลการปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ โดยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งระหว่างวันที่ 13-19 พ.ย. 68 ตำรวจภูธรภาค 5 สามารถจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญได้ 3 คดี ตรวจยึดของกลางยาบ้ากว่า 11 ล้านเม็ด และไอซ์กว่า 500 กิโลกรัม พร้อมทั้งอายัดทรัพย์สินได้จำนวนหนึ่ง และอยู่ระหว่างการเร่งขยายผล

สำหรับการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญทั้ง 3 คดีนั้น คดีแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบรถกระบะบรรทุกใบหญ้าคาอำพรางซุกซ่อนยาบ้าจอดทิ้งไว้ภายในฌาปนกิจสถานบ้านปงเคียน ตำบลดงมหาวัน อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย ตรวจค้นพบยาบ้า 6 ล้านเม็ด ซุกซ่อนในห้องโดยสารและท้ายรถ ส่วนคดีที่สอง เจ้าหน้าที่จับกุมนายนำโชค ผู้ต้องหาที่ลำเลียงยาบ้าจากชายแดนอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เข้าสู่ตำบลห้วยลาน อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา ตรวจยึดได้ 5 ล้านเม็ดที่ซุกซ่อนภายในรถกระบะ และคดีที่สาม เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดไอซ์ 500 กิโลกรัม ในโกดังพื้นที่อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ผู้ต้องหา 2 คน คือ นายนิติฐพนธ์ และนางสาววิมลวรรณ ยอมรับว่ารับจ้างลำเลียงจากอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อนำไปส่งยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยใช้ฟางข้าวปิดบังอำพราง


ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังได้แถลงผลการจับกุมขบวนการทุจริตเรียกรับผลประโยชน์ในการจัดทำใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวรและการให้สัญชาติไทยแก่คนต่างด้าวตามมติ ครม. 29 ต.ค. 67 ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง ร่วมกับตำรวจ บก.ปปป., ป.ป.ช., ป.ป.ท. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ จับกุมในพื้นที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 68 หลังพบเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกับนายหน้าสวมสิทธิ ทำเอกสารเท็จ และเรียกรับผลประโยชน์จากการจัดทำใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวรและการให้สัญชาติไทย โดยนำคนต่างด้าวที่ไม่มีคุณสมบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 67 เข้ามาสวมตัว และบันทึกรายการเท็จในระบบทะเบียนราษฎร เพื่อให้ได้รับบัตรและสถานะโดยมิชอบ

โดยจากการรวบรวมพยานหลักฐานนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องกระทำความผิดรวม 28 ราย ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐ จํานวน 11 ราย แบ่งเป็นปลัดอําเภอ 2 ราย ลูกจ้างอำเภอ 4 ราย และกำนันผู้ใหญ่บ้าน 5 ราย ส่วนอีก 17 ราย เป็นนายหน้าและคนต่างด้าว ซึ่งในจำนวนนี้ตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลที่ถือหนังสือเดินทางสัญชาติจีน 3 ราย ซึ่งการจับกุมครั้งนี้สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้รวม 12 ราย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่รัฐ อดีตลูกจ้างอำเภอ ผู้นำท้องถิ่น นายหน้า และกลุ่มต่างด้าวผู้ร่วมกระทำผิด ซึ่งกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกจับกุม ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ จันทร์คำ ปลัดอำเภอชำนาญการพิเศษ อดีตหัวหน้ากลุ่มงานทะเบียนอำเภอเวียงแหง ถูกจับในอำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา และนายสรรเสริญ พงษ์พิพัฒน์ อดีตปลัดอำเภอฝ่ายทะเบียนเวียงแหง ถูกจับที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนที่เหลือจับกุมได้ในพื้นที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ 8 ราย, กรุงเทพฯ 1 ราย และจังหวัดสมุทรสาคร 1 ราย ส่งดำเนินคดีตามกฎหมายหลายข้อหา ทั้งความผิดเกี่ยวกับทะเบียนราษฎร การนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 162 กับกลุ่มผู้กระทำผิดทั้งหมด พร้อมเร่งขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม โดยกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำผิดทุกระดับด้วย


ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลสนับสนุนการทำงานของทุกหน่วยอย่างเต็มศักยภาพ ทั้งเทคโนโลยีและกลไกเชิงระบบ พร้อมย้ำว่านโยบายปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ รัฐบาลประกาศเป็น “ศัตรูโดยตรง” กับผู้ค้า ผู้ครอบครอง และผู้ลำเลียงทุกรูปแบบ รวมทั้งผู้เสพที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย พร้อมเดินหน้าควบคู่มาตรการป้องกัน ปราบปราม และยึดทรัพย์ เพื่อตัดวงจรอาชญากรรมให้เด็ดขาด ส่วนกรณีขบวนการทุจริตเกี่ยวกับเรื่องสัญชาตินั้น จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกระทำผิด โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริต ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าขบวนการนี้ยังเชื่อมโยงกับคดีในพื้นที่ปทุมธานีที่มีการโฆษณารับทำบัตรประจำตัวประชาชนผ่านแพลตฟอร์ม "เสี่ยวหงชู"(XiaoHongShu)" ของจีน จึงนับได้ว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เนื่องจากมีผลกระทบต่อทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมหาศาล โดยมีมูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท

สำหรับกรณีที่เกิดขึ้น รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศทันที ด้วยการเพิกถอนทุกรายการทางทะเบียนที่ได้มาโดยมิชอบ และดำเนินคดีทั้งทางวินัยและอาญากับเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยไม่ละเว้น พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) วิเคราะห์รูปแบบธุรกรรมทางการเงิน และตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียดถี่ถ้วน หากมีพฤติการณ์เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือความผิดมูลฐาน ให้ ปปง.ดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สินและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดจนถึงที่สุด และนอกจากการปราบปรามต้นตอของปัญหาแล้ว รัฐบาลยังได้ยกระดับมาตรการป้องกันอย่างเป็นระบบ ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยมอบหมายให้กรมการปกครองพัฒนาระบบที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างยั่งยืน












กำลังโหลดความคิดเห็น