ศูนย์ข่าวขอนแก่น - “เอกราช ช่างเหลา” ส.ส.พรรคภูมิใจไทยไม่รับข้อหาคดีอาญา และปฏิเสธที่จะชำระหลักทรัพย์ 130 ล้านบาท หรือจ่ายเงินสด 100 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดชำระในงวดเดือน พ.ย.นี้อีก 50 ล้านบาท อ้างว่ารอขายที่ดินทำเลทองบริเวณร้านแสงทองเดิม (ใกล้ศาลหลักเมือง) มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตามศาลไม่ยอมรับข้อเสนอ นัดฟังคำพิพากษา 18 ธ.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 ต.ค.) เวลาประมาณ 14.30 น. ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ขอนแก่น เขต 4 อดีตประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาตามนัด ในคดีการทุจริตยักยอกทรัพย์สหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น มูลค่ากว่า 431 ล้านบาท ซึ่งทางพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเอกราชเป็นจำเลยในคดีดังกล่าว ก่อนเข้าไปในห้องพิจารณาคดี นายเอกราชได้เดินทางมาพร้อมกับเลขาฯ และทนายความ
ทันทีที่เดินทางมาถึง ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปสัมภาษณ์นายเอกราช ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ว่า วันนี้ได้ให้ทางทนายความคนใหม่ยื่นขอกลับคำให้การภายหลังจากทนายความคนเดิมให้รับสารภาพจนมีหลายหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบด้านจริยธรรม ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ยืนยันว่าตนเองจะชดใช้เงินคืนทั้งหมด ซึ่งรอการขายที่ดินมูลค่า 300 ล้านบาทอยู่ โดยในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ ตนจะมีการแถลงข่าวให้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ทั้งนี้มีรายงานว่า นายอนุศาสตร์ สอนศิลพงศ์ ประธานกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด และกรรมการหลายท่านได้เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวที่เข้ารับฟังในห้องพิจารณาเล่าว่า จำเลยในคดีคือ นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.พรรคภูมิใจไทย แถลงต่อศาลจังหวัดขอนแก่นปฏิเสธข้อหาในส่วนคดีอาญา และปฏิเสธที่จะชำระหลักทรัพย์ 130 ล้านบาท หรือจ่ายเงินสด 100 ล้านบาท ซึ่งจะถึงกำหนดชำระในงวดเดือนพฤศจิกายนอีก 50 ล้านบาท อ้างว่ารอขายที่ดินทำเลทองบริเวณร้านแสงทองเดิม (ใกล้ศาลหลักเมือง) ที่ดินผืนนี้มีตีมูลค่าประเมินไว้ราคา 500 ล้านบาท ขณะที่ทางนายอนุศาสตร์ ประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด ยืนยันให้ศาลอ่านคำพิพากษา
บรรยากาศภายในห้องพิจารณาในช่วงนี้ค่อนข้างตึงเครียด มีการโต้แย้งกันไปมา โดยผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีถึงขั้นต้องขอปรึกษาหารือกับหัวหน้าศาลจังหวัดขอนแก่นถึง 2 รอบ เพื่อที่จะหาทางออกของคดีนี้ เพราะทนายฝั่งจำเลยยื่นขอให้ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไปก่อน ขณะที่ทางตัวแทนสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด ยืนยันที่จะให้ศาลอ่านคำพิพากษา เพราะจำเลยได้ผิดนัดการชำระเงินมาจำนวน 3 งวดแล้ว และปฏิเสธจะชำระในงวดที่ 4 เดือนพฤศจิกายนนี้อีก 50 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยให้การปฏิเสธ เพราะไม่สามารถหาเงินมาใช้หนี้ตามข้อตกลงได้ เป็นการกระทำเพื่อประวิงเวลา จึงไม่อนุญาตให้ถอนคำให้การ และไม่รับคำให้การใหม่ไว้ในกระบวนการพิจารณา อีกทั้งศาลต้องส่งให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 พิจารณา จึงนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 18 ธันวาคม เวลา 09.00 น.ตามกำหนดเดิม
นายเอกราช ช่างเหลา จำเลย เปิดเผยว่า เรื่องนี้ถูกปั่นเป็นเรื่องการเมือง เงินไม่ใช่ปัญหา ยังไงต้องหามาคืนให้ครบอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ดินย่านหลักเมืองขอนแก่นที่ประกาศขายยังไม่มีคนสู้ราคา เงินที่เอาออกไปจากสหกรณ์ ก็ไปซื้อที่ดินเพื่อค้ำประกันหนี้ให้สหกรณ์ฯ ที่ผ่านมาตนอัดอั้นตันใจ เพราะมีคำรับสารภาพค้ำคออยู่ เมื่อปฏิเสธแล้ว วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคมนี้ก็จะแถลงข่าวให้สื่อมวลชนทราบในรายละเอียด
ขณะที่นายอนุศาสตร์ สอนศิลพงศ์ ประธานกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น กล่าวว่า ในวันนี้ทางนายเอกราช ช่างเหลา จำเลยในคดีดังกล่าว ได้ให้การปฏิเสธ จากก่อนหน้านั้นที่เคยได้รับสารภาพมาและขอสู้คดี ส่วนเงินจะรับผิดชอบในทางแพ่ง แต่ทางสหกรณ์ออมทรัย์ครูขอนแก่นไม่ยอม จากนั้นศาลได้วิเคราะห์แล้วว่า การที่นายเอกราช ช่างเหลา จำเลย ได้ปฏิเสธในคดีอาญาแต่ทางศาลไม่อนุญาต เพราะก่อนหน้านี้ได้รับสารภาพและมีการจ่ายเงินคืนให้กับทาง สหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่นมาแล้วบางส่วน ทำให้ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 18 ธ.ค. 67 เวลา 09.00 น.
ส่วนการที่นายเอกราชอ้างว่าจะขายที่ดินแล้วนำเงินมาชำระนั้น ตนเองมองว่าไม่เกี่ยวกับสหกรณ์ฯ มองว่าเป็นข้ออ้างที่จะมีเงินให้กับทางสหกรณ์
มีรายงานเพิ่มเติมแจ้งว่า ก่อนหน้านี้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติชี้มูลความผิด นายเอกราช ช่างเหลา สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคภูมิใจไทย กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีเมื่อครั้งเป็นผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด ได้กระทำการทุจริตยักยอกเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา จนทำให้สหกรณ์มียอดเงินขาดบัญชีตั้งแต่ปี 2554-2562 เป็นเงินจำนวน 431,826,070.43 บาท
และเพื่อเป็นการปิดบังอำพรางการกระทำความผิดของตนเอง ยังได้ทำการปลอมแปลงรายการในเอกสารสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากประจำของสหกรณ์ และจัดทำหรือรับรองรายงานสถานะทางการเงินเสนอต่อที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีอันเป็นความเท็จ เพื่อให้สหกรณ์และละสมาชิกหลงเชื่อว่าสหกรณ์มียอดเงินคงเหลือตามที่ระบุในเอกสารดังกล่าวจริง เป็นการกระทำต่อเนื่องตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 จนถึงเดือนสิ่งหาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2561 มีผลใช้บังคับแล้ว และนายเอกราชช่างเหลา ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2562
นอกจากนี้ยังมีพฤติการณ์จงใจไม่ชำระหนี้เงินขาดบัญชีที่เกิดจากการกระทำของตนเองคืนให้กับสหกรณ์ฯตามหนังสือรับสภาพหนี้ ฉบับลงวันที่ 27 ธันวาคม 2562 จนในปี 2564 สหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด ได้ยืนฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดขอนแก่นแก่นในข้อหาเกี่ยวกับการร่วมกันยักยอกทรัพย์ ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้มีคำสั่งสั่งยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดไว้เป็นการชั่วคราว
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเห็นชอบตามสำนวนไต่สวนคดีเบื้องต้นว่า การกระทำของนายเอกราช ช่างเหลา ผู้ถูกกล่าวหา เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยประพฤติตนไม่อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน และกระทำการที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 12 ข้อ 19 ประกอบข้อ 3 วรรคสอง และข้อ 27 วรรคสอง ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 โดยการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดังกล่าว ยังถือว่าไม่เป็นที่สุด นายเอกราช ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา ยังคงสถานะเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอย่างถึงที่สุดออกมา