อุดรธานี-แรงงานไทยชาวอุดรรายที่2 กลับถึงบ้านเกิดแล้ว เล่าเหตุการณ์เฉียดตายซ่อนตัวในห้องพักคนงาน กลุ่มฮามาสพูดไทยพยายามหลอกล่อให้ออกจากห้อง แต่รู้ทัน หนีเข้าป่าข้ามคืนข้ามวันแล้วแจ้งทหารอิสราเอลเข้าไปช่วย ลั่นไม่กลับไปอีกแล้ว จะหางานทำในไทยหรือไม่ก็ไปหาขุดทองต่อประเทศอื่น
เช้าวันนี้ (14 ต.ค. 66) นายเกรียงศักดิ์ พันธุ์สุรี อายุ 37 ปี แรงงานชาวอำเภอหนองวัวซอ จ.อุดรธานีที่ไปทำงานประเทศอิสราเอลและเผชิญเหตุเฉียดตายจากสงครามความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอล ได้เดินทางมาถึงบ้านแล้วอย่างปลอดภัยแล้ว นายเกรียงศักดิ์เป็นรายที่ 2 ของจังหวัดอุดรธานีที่เดินทางกลับภูมิลำเนาจากการช่วยเหลือของรัฐบาล
ทันทีที่ลงจากเครื่องบิน มีนายสุรศักดิ์ อักษรกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยนายสามารถ หมั่นนอก ปลัดจังหวัดอุดรธานี นายวุฒิพงษ์ ใจยศ นายอำเภอหนองวัวซอ และนางอมรทิพย์ ประทุมรัตน์ ภรรยาของนายเกรียงศักดิ์ได้ยืนรอต้อนรับ ที่สนามบินนานาชาติอุดรธานี พร้อมทั้งได้อำนวยความสะดวกพาส่งถึงบ้าน
เมื่อเดินทางมาถึงญาติและชาวบ้านก็ได้ทำพิธีผูกแขนรับขวัญต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมทั้งได้มอบถุงยังชีพและเงินช่วยเหลือค่าที่พักและค่าเดินทาง จากกิ่งกาชาดอำเภอหนองวัวซอ และสำนักงานจัดหางานจังหวัดอุดรธานี ให้ความช่วยเหลือ/ให้คำปรึกษาด้านสิทธิประโยชน์ของกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศกับนายเกรียงศักดิ์ พร้อมทั้งความช่วยเหลือด้านอื่นๆ
นายเกรียงศักดิ์ พันธุ์สุรี หนึ่งในบรรดาแรงงานไทยที่เผชิญเหตุร้ายจากประเทศอิสราเอลเปิดเผยว่า ก่อนอื่นต้องขอบอกว่ารู้สึกดีใจที่ตนได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย และขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆที่ให้การช่วยเหลือ ตนไปทำงานที่อิสราเอลเกือบจะ 5ปี อีก 5 เดือนก็จะครบสัญญา โดยทำงานด้านเกษตร ที่หมู่บ้าน เย -ชา -มิต -คิม สำหรับวันที่เกิดเหตุเป็นวันที่ 7 ตุลาคม ช่วงเช้า ฝั่งทางปาเลสไตน์ มีการยิงจรวดเข้ามาทางฝั่งอิสราเอลก่อน ตอนแรกคิดว่าเป็นการสู้รบยิงกันปกติทั่วไปตามที่เราเคยพบเจอ และไม่คิดว่าจะมีทหารภาคพื้นบุกเข้ามาด้วย แรงงานชาวไทยอย่างพวกตนก็ไม่ได้ตั้งตัวว่าจะมีการหลบซ่อนตัวอย่างไร จากนั้นก็มีเสียงปืนในจุดที่ตัวเองอยู่ ไม่คิดว่าจะมีการกราดยิง
ตนจึงไปแอบดูตามกล่องใส่มันฝรั่ง ตอนแรกคิดว่าเป็นทหารของฝั่งอิสราเอล แรงงานคนไทยหลายคนก็เลยไม่ได้หลบ จากนั้นมีคนเข้ามาหลบซ่อนตัว แล้วทหารก็ยิงปืนใส่เข้ามา แรงงานคนไทยจึงวิ่งหลบซ่อนตัวเข้าป่าไป โดยซ่อนตัวตั้งแต่คืนวันที่ 7 จนถึงวันที่ 8 ช่วงเที่ยงจึงออกมาและกลับมายังแคมป์คนงานเพื่อทำกับข้าวกินและพักผ่อน
ต่อมา ช่วงเย็นประมาณ 4-5 โมงเย็นแรงงานไทยก็พากันเข้านอน แต่ตอนนั้นตนกำลังโทรศัพท์พูดคุยกับทางบ้าน จู่ๆมีเสียงปืนดังขึ้นอีก กลุ่มเพื่อนแรงงานที่ได้ยินเสียงก็วิ่งหลบออกไปกันหมด ตนกับเพื่อนอีกคนหลบอยู่ในห้อง ไม่สามารถออกมาได้ เสียงปืนสงบเสียงระเบิดก็ตามมา 2 ครั้ง สักพักทหารกลุ่มฮามาสก็มาเรียกคนไทยให้ออกมา โดยพูดเป็นภาษาไทยว่า “สวัสดีครับ” แต่ก็ไม่มีใครออกไป ตอนนั้นตนก็ได้ยิน ฟังสำเนียงเหมือนชาวต่างชาติพูดไทย คือพูดไม่ชัด ก็เลยไม่มีใครกล้าออกไป
“ไม่นานจากนั้นมีการจุดไฟเผาแคมป์คนงาน ตนและเพี่อนคนงานอยู่ไม่ได้ จึงวิ่งออกมาก่อน และไปหลบซ่อนตัวในป่า และก็โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือกับทหารอิสราเอลให้มาพาตัวออกไป”
สาเหตุที่ตนขอเดินทางกลับเพราะคิดว่าไม่ปลอดภัยและพื้นที่ที่ตนอยู่เป็นพื้นที่สีแดง หากสถานการณ์สงบตนก็คงไม่ได้เดินทางกลับไปทำงานต่อเพราะว่าหมดสัญญาพอดีและกำลังจะหางานทำต่อที่ประเทศไทยหรือหาโอกาสเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศอื่นๆต่อไปแต่ตอนนี้ขอพักก่อน
ด้านนางบุญเพ็ง ประทุมรัตน์ อายุ 60 ปี แม่ยาย บอกว่า ลูกเขยกลับมาก็รู้สึกดีใจ ยิ่งช่วงนี้เกิดสงครามกินข้าวไม่ได้นอนไม่หลับเป็นห่วง กลัวลูกจะไม่ปลอดภัย ข่าวการสู้รบที่อิสราเอลนั้นได้ยินข่าวมาทุกวัน ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไง ได้ยินข่าวก็ได้แต่ร้องไห้ ตอนก่อนลูกจะเดินทางกลับได้ไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายที่ ขอให้ปกปักรักษา อย่าให้คนร้ายเห็นตัว ซึ่งเมื่อลูกกลับมาอย่างปลอดภัยตนก็จะรอความพร้อมไปแก้บน สำหรับลูกเขยคนนี้เป็นคนนิสัยดีขยันทำมาหากินตนรักมาก