เชียงราย - พบคนไทยถูกหลอกทำงานรัฐฉาน เมียนมา ยอดพุ่งถึง 140 ราย-สัญญาจ้างมหาโหด ส่วนใหญ่เป็นคนภาคกลาง-อีสาน ล่าสุดยังช่วยได้ไม่ถึงครึ่ง แต่บางรายแจ้งเท็จ กรมการกงสุลรุดหารือเชียงราย-เล็งคัดกรองเหยื่อ
วันนี้ (6 มิ.ย. 66) นายรุจ ธรรมมงคล อธิบดีกรมการกงสุล ได้นำคณะเข้าประชุมหารือกับนายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย น.ส.ภาณี จันทร์ตัน พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.เชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาคนไทยถูกหลอกไปทำงานและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในประเทศเมียนมา
ช่วงแรกที่ประชุมได้รายงานสถานการณ์ล่าสุดและติดตามผลการดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ ที่ผ่านมาเพื่อจะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาต่อไป โดย พ.ต.อ.สัญญา เนียมประดิษฐ์ ผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา และ น.ส.พิมพ์ ไชยสาร์น กงสุลสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง แจ้งต่อที่ประชุมว่าปัจจุบันมีคนไทยลักลอบเข้าไปทำงานในประเทศเมียนมาอย่างผิดกฎหมาย และหลายรายหลงเชื่อการรับสมัครงานผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่เสนอรายได้และสวัสดิการที่ดี
เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่มีคนในพื้นที่เชียงราย บางรายมีการนัดสัมภาษณ์งานผ่านวิดีโอทางไกลเพื่อให้น่าเชื่อถือ แต่เมื่อไปทำงานจริงกลับเป็นงานที่ไม่ตรงกับที่ตกลงกันเอาไว้ แต่เนื่องจากถูกยึดหนังสือเดินทางระหว่างประเทศหรือพาสปอร์ตไปแล้วและทำสัญญาจ้างงาน รวมทั้งถูกข่มขู่ทำให้จำใจต้องทำงาน กลุ่มบุคคลที่ถูกหลอกไปทำงานพบว่าส่วนใหญ่เป็นคนจากพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด
นายอำนาจ พละพลีวัลย์ ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กล่าวว่า ปัญหาสำคัญคือไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ที่ร้องทุกข์เป็นเหยื่อจริงหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่เขียนคำร้องทุกข์ถึงเจ้าหน้าที่ไปในทิศทางเดียวกันคือถูกหลอกให้ไปทำงาน จึงเสนอให้จัดตั้งศูนย์สอบสวนเพื่อลงโทษผู้ที่แจ้งความเท็จอย่างจริงจังและอยากให้ลดขั้นตอนการช่วยเหลือจากเดิมใช้เวลารายละ 2-3 เดือน เนื่องจากมีเบาะแสแล้วถึง 140 ราย แต่ช่วยเหลือกลับมาได้เพียง 63 ราย
ด้านด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จ.เชียงราย แจ้งว่าปัญหาหลักคือผู้ที่ลักลอบเข้าไปทำงานออกไปตามช่องทางธรรมชาติที่ไม่ใช่ด่านหลักทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดตามบุคคลได้ง่าย และผู้ที่ลักลอบก็มักจะเต็มใจที่จะไปทำงาน และเมื่อครบสัญญาจ้างแล้วอาจไม่ได้รับค่าจ้างตรงกับที่คาดการณ์ไว้จึงจะเดินทางกลับประเทศไทย
แต่เนื่องจากกระทำผิดด้วยการหลบหนีออกเมืองและไม่อยากถูกดำเนินคดี จึงได้แจ้งญาติให้บอกเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเหยื่อถูกหลอกไปทำงานเพื่อให้รับการช่วยเหลือกลับประเทศไทย ซึ่งพบบางรายหลังจากได้รับการช่วยเหลือแล้วยังกลับไปทำงานซ้ำอีกด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า ช่วงปลายปี 2565-2566 คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา (TBC) ฝ่ายไทย อ.แม่สาย จ.เชียงราย ได้ประสานไปยัง TBC ฝ่ายเมียนมา จำนวน 6 ครั้ง เพื่อขอความช่วยเหลือคนไทยจำนวน 18 คน ได้รับการช่วยเหลือแล้ว 11 คน โดยช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2565 และเดือน ม.ค. 2566 พบมีผู้ถูกหลอกให้ไปทำงานค้าประเวณีและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และไม่ได้รับการช่วยเหลืออีก 7 คน บางรายไปเป็นกลุ่ม 5 คน ส่วนที่เหลือรายละ 1 คน ส่วนใหญ่มีอายุน้อยตั้งแต่ 20-30 ปี
เหยื่อส่วนใหญ่ทราบประกาศรับคนงานทางเฟซบุ๊ก, Line, TIKTOK ให้ไปทำงานที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ติดกับ อ.แม่สาย อ้างว่าจะมีเงินเดือน เดือนละขั้นต่ำ 10,000 บาท มีที่พักและอาหารฟรี แต่เมื่อไปทำงานจริงกลับถูกส่งไปทำงานตามเมืองใหญ่ๆ ในรัฐฉานซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลชายแดน เช่น เมืองปางซาง เมืองล็อกกิ่งหรือเล่าไก ฯลฯ บางรายถูกให้ลงนามในสัญญาที่เป็นภาษาจีนจึงไม่ทราบรายละเอียด แท้จริงสัญญาระบุให้ทำงาน 6 เดือน หากอยากลาออกต้องจ่ายเงินให้ผู้จ้าง 50,000-200,000 บาท หากไม่มีให้ต้องทำงานจนกว่าจะหมดหนี้ บางรายปฏิเสธงานตั้งแต่ต้นก็ต้องเสียเงินให้นายหน้ารายละ 50,000 บาท ไม่รวมค่าเดินทางกลับด้วย