กาฬสินธุ์ - ยายวัย 76 ปีชาวตำบลกลางหมื่น อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ วอนกรมที่ดินเร่งสางปัญหาพิพาทการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 ตั้งแต่ปี 2507 พื้นที่ 10 ไร่ ระบุถูกเพื่อนบ้านที่มาขออยู่อาศัยภายหลังบุกรุก ด้านที่ดินจังหวัดจัดช่างรังวัดสอบแนวเขตเพื่อความชัดเจนและยุติปัญหา
วันนี้ (2 ก.ย.) ที่บริเวณบ้านเลขที่ 44 หมู่ 9 บ้านเหล่ากลาง ต.กลางหมื่น อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ นายสมเจตน์ เต็งมงคล นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ มอบหมายนายกิตติคม ติดเมิง ปลัดอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม ติดตามความเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ฝ่ายรังวัดที่ดิน จ.กาฬสินธุ์ ทำการเดินสำรวจและตรวจสอบแนวเขต หลังนางหงษ์ ดลปัดชา อายุ 76 ปี เจ้าของบ้าน ได้ร้องขอให้ทำการสำรวจ โดยมีผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และราษฎรพื้นที่ข้างเคียง ร่วมเดินสำรวจ
นางหงษ์ ดลปัดชา เจ้าของบ้าน กล่าวว่า ที่ดินจำนวน 10 ไร่ที่ตนร้องศูนย์ดำรงธรรมและขอให้ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดทำการรังวัดสำรวจดังกล่าว ตนครอบครองมาตั้งแต่ปี 2507 เป็นเอกสารสิทธิประเภทใบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ขณะที่บริเวณที่เป็นพื้นที่พิพาทอยู่ติดกับบ้านของตน ได้ถูกเพื่อนบ้านรายหนึ่งที่เข้ามาอยู่อาศัยภายหลังปลูกสร้างบ้านและปลูกมันสำปะหลังด้านทิศตะวันตกรุกล้ำแนวเขต
นอกจากนี้ยังฉีดพ่นสารเคมีในเวลากลางคืน ทำให้ตนและลูกหลาน ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงนี้ได้รับความเดือดร้อนมากว่า 20 ปี
นางหงษ์เล่าอีกว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินมรดก ตนกำพร้าพ่อ อาศัยอยู่กับนางเคน การเลิศ มารดา และนายนู การเลิศ พี่ชายต่างบิดา ตามทะเบียนการครอบครองที่ดินซึ่งเป็นป่าเสื่อมโทรม และตามแบบสำรวจเนื้อที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.6) โดยมีเอกสารสิทธิแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เมื่อปี 2498 มีนางเคน การเลิศ มารดา และนายนู การเลิศ พี่ชายต่างบิดา เป็นเจ้าของที่ดิน
ในปี 2507 หลังจากนางเคน การเลิศ มารดาเสียชีวิต นายโสม กายาสิทธิ์ ซึ่งเป็นลุง ได้มอบ ส.ค.1 ให้ตนเก็บรักษาไว้เพื่อที่จะให้เป็นมรดกตกทอดสู่ลูกหลาน ต่อมามีชาวบ้านรายหนึ่งมาขอสร้างบ้านอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าว โดยอ้างว่าอยู่ใกล้แปลงนาที่นายโสม กายาสิทธิ์ ลุงของตนขายที่นาให้ ซึ่งเป็นคนละแปลงกับที่ 10 ไร่ดังกล่าว
ตนจึงให้อยู่อาศัยโดยตกลงไม่ให้แผ้วถางพื้นที่ป่าและไม่ให้ทำประโยชน์อย่างอื่น แต่ชาวบ้านรายนี้ไม่ยอมทำตามที่ตกลงกันไว้ มีการบุกรุกถางป่า ตัดโค่นต้นไม้ในพื้นที่ ทั้งนำรถไถมาปรับเกรดทำไร่มันสำปะหลังเรื่อยมา
กระทั่งในปี 2546 ได้มีการสำรวจออกโฉนดที่ดิน ตนจึงได้นำหลักฐานที่ดิน ส.ค.1 ฉบับดังกล่าว เฉพาะส่วนไปออกโฉนดที่ดินจำนวน 1 งาน 73 ตารางวา ให้แก่นางมะลิ เคราะห์ดี บุตรสาว เพื่อจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านเหล่ากลาง และได้ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 181 เลขที่ 49270 เล่ม 493 หน้า 70 อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ออกให้เมื่อปี 2547 ขณะที่พื้นที่ส่วนที่เหลือ ตนได้พยายามติดตามเรื่องกับที่ดิน จ.กาฬสินธุ์หลายครั้ง เพราะเกรงว่าจะมีการออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้อื่นโดยไม่สุจริต
ต่อมาตนก็ได้รับหนังสือชี้แจงจากสำนักงานที่ดิน จ.กาฬสินธุ์ว่า การขอออกที่ดินดังกล่าวผิดพลาด เนื่องจากการเดินสำรวจออกโฉนดผิดตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดิน
นอกจากนี้ตนยังทราบว่าชาวบ้านรายที่มาขออยู่อาศัยและสร้างที่พักในที่ดินดังกล่าวได้เดินเรื่องขอออกโฉนดที่ดินด้วย เกรงว่าจะเป็นลักษณะสวมสิทธิ โดยนำโฉนดที่นาที่ซื้อจากนายโสม ซึ่งเป็นคนละแปลงและอยู่คนละที่มาเป็นหลักฐานประกอบ
นางหงษ์เล่าในตอนท้ายว่า เมื่อเหตุการณ์เป็นในลักษณะดังกล่าว ในปี 2560 ตนจึงเข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรม จ.กาฬสินธุ์ ขณะที่ชาวบ้านคู่กรณียังทำการบุกรุกพื้นที่เพื่อทำไร่มันสำปะหลังเป็นบริเวณกว้างกว่าเดิม โดยไม่ยอมรับฟังการทักท้วงห้ามปรามของตน จึงร้องผ่านศูนย์ดำรงธรรมและทำการตรวจสอบที่ดินในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอความเป็นธรรมจากกรมที่ดินด้วย เพราะตนถือสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนี้โดยชอบธรรม
ด้านนายสมเจตน์ เต็งมงคล นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า หลังทราบเรื่องของนางหงษ์ ทางอำเภอได้มอบหมายให้ฝ่ายศูนย์ดำรงธรรมประสานกับสำนักงานที่ดิน จังหวัด ดำเนินการตามความต้องการของผู้ร้องขอ ส่วนผลการดำเนินการจะออกมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ทางสำนักงานที่ดินเดินสำรวจ และทำการตรวจสอบตามขั้นตอนต่อไป
ขณะที่ นายมงคล สำราญภูมิ เจ้าพนักงานที่ดิน จ.กาฬสินธุ์ หลังได้รับการร้องขอจากนางหงษ์ ได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ฝ่ายรังวัดเดินสำรวจแนวเขตเพื่อความชัดเจน ทั้งนี้ ก็ต้องรอรายงานผลการตรวจสอบที่ดินจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายรังวัดเพื่อพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป จากนั้นก็จะประกาศผลการดำเนินการภายใน 30 วัน หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่พอใจผลการพิจารณา ก็สามารถคัดค้านหรือยื่นเรื่องต่อศาลได้เพื่อให้ทำการพิจารณาอีกครั้ง ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล