ลำปาง - สหรัฐฯ ส่งทีมเจ้าหน้าที่เปิดปฏิบัติการนำนักบินกลับบ้าน พลิกตำราประวัติศาสตร์ยุทธเวหาลำปาง เดินค้นหาทั่ว “ดอยฝรั่ง” ตามหาร่าง “ร้อยโท” หนึ่งในนักบินที่ถูกเสืออากาศไทยยิงตกเสียชีวิตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ในการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติเขลางค์บรรพต PAC ครั้งที่ 2/2564 ที่ผ่านมาเร็วๆนี้ ได้มีการนำเสนอรายงานการปฏิบัติภารกิจในช่วงที่ผ่านมา คือ กรณีเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้เข้าร่วมกับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกาเดินสำรวจบนดอยฝรั่ง เขตบ้านทรายใต้ อ.เมืองลำปาง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติเขลางค์บรรพต เพื่อติดตามหาร่างและสิ่งของอื่นๆ ของ ร.ท.Henry Francis Minco หนึ่งในนักบินที่ถูกแจ้งว่าสูญหาย ระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ค.ศ. 1944 (พ.ศ. 2487) คือเมื่อ 77 ปีที่ผ่านมา
จากการสืบค้นดูเรื่องราวที่ถูกบันทึกและรวบรวมไว้ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ศึกษายุทธเวหาลำปาง” เรื่อง ลำปางกับเหตุการณ์ญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยอาจารย์ศักดิ์ ส.รัตนชัย ซึ่งปัจจุบันท่านอายุ 93 ปี เป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสและเป็นนักประวัติศาสตร์ล้านนา มีความรู้รอบด้าน
อาจารย์ศักดิ์ที่ยังจำเรื่องราวบางส่วนได้ดี แต่ก็ไม่สามารถจะเล่าเรื่องให้ฟังได้ทั้งหมด ระบุว่า การรบครั้งนั้นถือเป็นวีรกรรมของโลกที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น เกิดขึ้นในจังหวัดลำปาง เป็นการรบทางอากาศในระยะประชิด 5 ต่อ 21 ป้องกันนครลำปาง ซึ่งในช่วงนั้นเป็นสมัยกองทัพพายัพ และกองบินใหญ่ผสมภาคพายัพ ตั้งอยู่นครลำปาง ซึ่งอยากให้ทุกคนได้อ่าน
ในหนังสือปรากฏรายงานเหตุการณ์สอบสวนร่วมในกิจกรรม ปศส. คือ วันที่ 11 พ.ย. 2487 เวลา 12.20-12.37 น. กองบินที่ 14 สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินโจมตีรวม 70 เครื่อง โจมตีจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ รวมทั้งนครลำปางด้วย เขตหรือภาคพายัพลำปาง ปรากฏรายงานเครื่องบินจำนวน 21 ลำรุกน่านฟ้าตั้งแต่เชียงตุง แห่งสหรัฐไทยเดิม เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ได้มีภารกิจโจมตีแบบบินจิก ยิงเที่ยวเดียวไม่วนกลับ แล้วเข้าลำปางผ่านดอยขุนตาล ม่อนกระทิง
เครื่องบินขับไล่ไทยเหลือเพียง 5 ลำ กับ 5 นักบิน คือ 1. นาวาอากาศตรี (จอมพล) เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ผบ.ฝูงบินขับไล่ที่ 15 กองบินใหญ่ผสมที่ 85 พายัพ 2. เรืออากาศตรี (น.ท.) คำรบ (ทองคำ) เปล่งขำ ผบ.หมู่บินขับไล่ที่ 15 ผู้ยิงมัสแตงตก 1 เครื่อง 3. พันจ่าอากาศเอก (น.ต.) จุลดิส เดชกุญชร ผู้ร่วม ผบ.หมู่สกัดกั้น งาว-พะเยา-ลำปาง 4. พันจ่าอากาศเอก (พ.อ.อ.) วาสน์ สุนทรโกมล ผู้ร่วม ผบ.ฝูง (สกัดกั้นถูกยิงเครื่องลุกไหม้กลางอากาศ) 5. พันจ่าอากาศ (น.ท.) บุญเอียด (ธาดา) เบี้ยวไข่มุกค์ (ถูกยิงรังปืนแตกชำรุดตกลงมา) ได้ขึ้นปะทะ มีการสู้กันเหนือตัวเมืองเก่า เมืองเขลางค์หรือเวียงคอกวัว และบริเวณแอ่งดอยเขางาม
เครื่องบินคู่ต่อสู้อีกจำนวนหนึ่งได้บินโจมตีหัวรถจักรขณะแล่นผ่านระหว่างสถานีผาลาดและสถานีแม่ทะ อันเป็นบริเวณที่มีปล่องภูเขาไฟร้างม่อนหินฟู และจำป่าแดด อยู่ระหว่างสองข้างทางรถไฟ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้นชาวลำปางเป็นพยานรู้เห็นวีรกรรมของนักบินทั้ง 5 ท่านได้เป็นอย่างดี ฝ่ายข้าศึกมีจำนวนมากเรียกว่ารุมกินโต๊ะ โดยฝ่ายข้าศึกมีเครื่องแบบสองลำตัว พี.38 ที่ติดกระสุนปืนใหญ่อากาศ และ พี.51 มัสแตง ปกอ.6 กระบอก ทั้งอาวุธร้ายแรงและความเร็ว บินเป็นฝูงมาอย่างกระหึ่ม ส่วนของไทยทยอยกันขึ้นทีละเครื่องและไต่ชันขึ้นไปสู้ มีการพลิกวนยิงกันสาดกระสุนประสานกันเป็นสาย ของข้าศึกใช้กระสุนระเบิด กระสุนส่องแสงและเจาะเกราะ ต่างแยกหมู่ 4 รุมเครื่องบินไทยหมู่ละเครื่อง (4:1) ข้าศึกพยายามดึงเกมต่อสู้ในระยะสูงเพื่อให้พ้นวิถี ปตอ.ภาคพื้นดินของลำปาง
ผลการต่อสู้ ผู้ฝูงเฉลิมเกียรติถูกยิงลูกสูบและล้อยางแตกหางฉีกกลางอากาศร่อนลงสู่สนาม ข้าศึกตามยิงซ้ำ ขณะที่พลพื้นดินช่วยนำตัวผู้ฝูงออกมาพ้นเครื่องราว 50 เมตรเครื่องก็ระเบิด
ส่วนจ่าวาสน์ ถูก 4 รุม 1 เครื่องลุกไหม้กลางอากาศ แม้ทันกระโดดร่มชูชีพแต่ถูกไฟครอกจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา
พันจ่าอากาศเอก จุลดิส ซึ่งขับเครื่องเบอร์ 4 ถูก พี.38 ยิงด้วยปืนกลใหญ่จนเครื่องพังปีกขวาเป็นรูโบ๋ ห้องนักบินโดนกระสุน เครื่องพังและกระสุนเจาะหลังนักบิน เครื่องต้องถลาลงเหมือนนกปีกหัก พยุงให้บินต่ำแต่ก็ไม่ถึงหัวสนามบิน ล้อซ้ายแตะลงมาเจอจอมปลวก จนเครื่องหงายลำพลิกกระดก นักบินกระเด็นออกจากที่นั่งโหม่งโลกตรงหลุมบวกควาย สลบเหมือดเลือดโชก ไหปลาร้าหัก มีผู้เข้ามาช่วยนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งตำนานบอกว่าแม่ธรณีบวกควาย (ปลักควาย) ช่วยชีวิตไว้
พันจ่าอากาศ ธาดาถูกเด็ดงากลางอากาศ คือเฟืองลูกเบี้ยวบังคับการยิงถูกกระสุนเจาะเกราะซัดพังน้ำมันเครื่องสาดเต็มท้องฟ้า นักบินต้องร่อนลงที่ตำบลพิชัย
ส่วนเสืออากาศ คำรบ เปล่งขำ หลบวิถีกระสุนตามรุม 4 ต่อ 1 โดยทิ้งดิ่งจากระยะสูงสู่ระยะต่ำกว่ายอดดอยม่อนพระยาแช่ทางด้านดอยกูลัว เครื่องบินมัสแตงลำเคราะห์ร้ายของข้าศึกตามมายิงกระหน่ำ เนื่องจากเครื่องบินบินเร็วกว่า บินลอดใต้ท้องล้ำหน้าไปและรีบดึงเงยเพื่อหลบภูเขาตัดหน้าเครื่องของผู้หมู่คำรบ ผู้หมู่คำรบไม่รอช้าเหนี่ยวไกยิงมัสแตงเครื่องนั้นตกในแอ่งห้วยโจ้อ้อมดอยกูลัวหลังม่อนพระยาแช่
ภารกิจครั้งนั้นเครื่องบินฝ่ายไทยร่วงทั้งหมด ถูกยิงไหม้กลางอากาศตาย 1 ขณะที่เครื่องบินคู่ต่อสู้สูญหายไป 3 เครื่อง ถูกยิงร่วงตาย 1 ที่บริเวณแอ่งกูลัวม่อนพระยาแช่ ซึ่งนักบินที่ขับเครื่องบินลำดังกล่าวคือ ร้อยโท Henry Francis Minco ส่วนนักบินไทยที่บาดเจ็บเข้ารักษาตัวที่ รพ.วิชิตสงคราม นพ.ตวงธรรม สุริยะคำ ได้เหลือกระสุนฝังไว้ในตัวผู้ฝูงเฉลิมเกียรติ 1 นัด ซึ่งกระสุนอยู่ในตำแหน่งที่หากผ่าตัดจะเป็นอันตราย
จากผลการสอบสวนเอกสารเรื่อง “เมื่อข้าพเจ้าส่งมัสแตงลงนรกที่ลำปาง” โดย น.ท.คำรบ (ทองคำ) เปล่งขำ ผบ.หมู่บินขับไล่ที่ 15 ได้เล่าในช่วงวินาทียิงว่า “ข้าพเจ้ากดเจ้าไกปืนขนาด 7.7 มม.บีบสุดแรง..เจ้ามัสแตงรูปงามที่ทะลึ่งขึ้นสุดตัว แล้วก็ฟาดหางลงทางด้านขวามองเห็นไฟลุกเป็นทาง และเครื่องบินข้าศึกอยู่สูงจากพื้นไม่ถึง 500 เมตร (ก็) ถลาลง”.....“เหลียวไปด้านซ้าย เจ้าพี5 สองตัวกับพี58 อีก 1 ตัวกำลังมุ่งหน้ากลับเชียงราย”.... “พอถึงขอบสนาม (บิน) เท่านั้น มองเห็นพี.38 สี่ตัวกำลังบินคุมเชิงอยู่ จึงตัดสินใจเลี้ยวบังหลืบเขาเพื่อไปลงยังสนามโรงน้ำตาลเกาะคา ขณะผ่านสถานีแม่ทะ (ผาลาด) พบรถไฟ 1 ขบวน ต่อมาจึงได้ทราบว่า พี.38 สี่ตัวที่ข้าพเจ้าพบได้ผลัดกันลงซ้อมยิงกินโต๊ะรถไฟขบวนนั้นจนฉ่ำมือแล้วก็บ่ายหน้ากลับ”....
ซึ่งหลังจากผ่านไป 77 ปี เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทีมงานค้นหาของ DEFENSE P0W / MIA ACCOUNTING AGENCY(DPAA) โดยสถานทูตอเมริกา ได้เดินทางมายังพื้นที่ดอยฝรั่ง บ้านทรายใต้ ม.8 ต.พิชัย อ.เมืองลำปาง ที่สืบทราบว่าเป็นจุดที่เครื่องบินตก เพื่อทำการค้นหาซากเครื่องบิน พี.51 ที่ถูกยิงตก และชิ้นส่วนร่างกายหรือวัตถุพยานอื่นๆ ที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นของนักบินที่เสียชีวิต เพื่อนำนักบินกลับบ้าน
ทีมงานได้นำอุปกรณ์ค้นหาโลหะมาทำการตรวจค้นรวม 1 สัปดาห์ ซึ่งก็พบชิ้นส่วนบางอย่างที่คาดว่าจะเป็นเศษซากเครื่องบิน รวมถึงซิปชุดนักบินยี่ห้อ conmap Made in USA เมื่อพบก็จะมีการปักธงเป็นสัญลักษณ์ไว้ ซึ่งการเดินทางก็ค่อนข้างทุลักทุเลเพราะเส้นทางเป็นเนินขึ้น-ลงเขา ต้องใช้เชือกผูกยึดกับต้นไม้เพื่อใช้เป็นแนวดึง แต่การค้นหาตลอดสัปดาห์ก็เป็นไปด้วยดี แม้จะยังไม่ได้พบในสิ่งที่ค้นหาคือกระดูกหรือชิ้นส่วนบางอย่างที่ระบุว่าเป็นนักบินก็ตาม ซึ่งทางทีมงานจะกลับมาอีกครั้งในปีหน้า
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่พูดคุยกับคุณลุงเย็น ขันตาเครือ อายุ 78 ปี ชาวบ้านทรายใต้ ต.พิชัย อ.เมืองลำปาง ซึ่งเป็นผู้นำทีมผู้ค้นหาชาวอเมริกันขึ้นไปยังจุดที่เครื่องบินของทหารอเมริกาตกบริเวณบนดอยฝรั่ง คุณลุงเล่าให้ฟังว่าตนเองยังจำได้ในสมัยนั้นอายุได้ประมาณ 17-18 ปี ตามคุณพ่อคือ พ่อติ๊บ ไปเลี้ยงวัวบนดอย
ตอนนั้นคุณพ่อพาไปดูและบอกว่า จุดนี้มีเครื่องบินของทหารอเมริกันตกและก็มีชิ้นส่วนอะไรตกในพื้นที่ แต่ด้วยขณะนั้นตนเองไม่ได้สนใจก็ได้แต่ดูเท่านั้น แต่จำได้แม่นยำ เพราะสภาพพื้นที่ภูมิประเทศไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก มีเพียงเศษหินดินอะไรต่างๆ ที่จะทับถมเท่านั้น
ซึ่งตนก็พาชุดค้นหาไปยังจุดนั้น เจ้าหน้าที่ที่มาก็นำเครื่องมือตรวจเมื่อพบวัตถุอยู่ใต้ดินเครื่องก็จะส่งเสียงดัง เจ้าหน้าที่ก็จะใช้อุปกรณ์เล็กๆ คุ้ยเขี่ยดู ก็พบเป็นชิ้นส่วนหลายอย่าง เช่น เศษโลหะเครื่องบิน ซิป และอื่นๆ ชิ้นเล็กๆ บางจุดมีเสียงดังแต่ก็ขุดไม่พบ ซึ่งอาจจะอยู่ลึก และอุปกรณ์ที่ขุดก็มีขนาดเล็กจึงไม่สามารถขุดลงลึกมากๆ ได้ ครั้งต่อไปจะมีการมาสำรวจอีกครั้ง คาดว่าจะใช้อุปกรณ์ในการขุดค้นหาขนาดใหญ่มาด้วยซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นก็อาจจะเจอชิ้นส่วนได้มากกว่านี้