กาฬสินธุ์ - สาวเจ้าของสวนเกษตรถูก กยศ.ทวงหนี้มั่วทั้งที่ปิดบัญชีไปแล้วร่วมทศวรรษโร่ขอศูนย์ดำรงธรรมกาฬสินธุ์ช่วยเหลือ สุดท้าย จนท.กยศ.โทร.แจ้งตรวจเจอชื่อเป็นลูกจ้างบริษัทในกรุงเทพฯ ต้องหักเงินเดือน ตอกย้ำระบบข้อมูล กยศ.ยอดแย่เพราะไม่เคยเป็นลูกจ้าง ทำเกษตรอยู่บ้านมานานกว่า 10 ปี
จากกรณี นางจิตตานันท์ สุริยะพงษ์ธร วัย 47 ปี เจ้าของสวนเกษตรไร่ภูทองใบ ต.เขาพระนอน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ได้รับใบทวงหนี้ค้างจ่าย กยศ.จำนวน 34,500 บาท แต่เธอยืนยันจ่ายครบปิดบัญชีตั้งแต่ปี 2553 ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบให้ละเอียดก่อนจะส่งหนังสือทวงหนี้ทั้งที่เวลาผ่านไปแล้วนับทศวรรษ
ล่าสุดวันนี้ (26 ส.ค.) ที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นางจิตตานันท์ได้เข้าพบนายสุวิศิษฐ์ จำนงพันธ์ ปลัดอำเภอหัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมอำเภอยางตลาด เพื่อขอความเป็นธรรมและขอคำปรึกษา หลังได้รับหนังสือแจ้งการชำระหนี้เงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ.ดังกล่าว
นางจิตตานันท์เล่าว่า หนังสือทวงหนี้จาก กยศ.ดังกล่าวทำให้ตนและคนในครอบครัวรู้สึกเครียดมาก ทั้งที่ตนได้ชำระและปิดบัญชีไปแล้วตั้งแต่ปี 2553 ตัวเธอไปปิดบัญชีด้วยตัวเองที่ธนาคารกรุงไทย สาขาสามพราน จ.นครปฐม ขณะเดินทางไปทำธุระที่จังหวัดนั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับหนังสือตนพยายามโทร.ติดต่อกับทางธนาคารกรุงไทยและ กยศ.หลายต่อหลายครั้งเพื่อให้ตรวจสอบใหม่และลบชื่อเธอออกจากระบบค้างชำระ
แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าหรือได้ข้อมูลใหม่เพิ่มเติม นอกจากจะบอกให้ตนหาใบเสร็จชำระปิดบัญชีเงินกู้ กยศ.ไปยืนยัน แต่ตนไม่สามารถหาได้เพราะเวลาผ่านมานานถึง 10 ปีแล้ว
สภาพจิตใจตอนนี้แย่มาก จะหาหลักฐานไปหักล้างได้จากที่ไหน เพราะทางธนาคารและ กยศ.ยืนยันว่าเช็กในระบบพบข้อมูลได้แค่นั้นว่ามีประวัติโอนเงินชำระในปี 2553 เพียง 2 ครั้ง คือวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 จำนวน 990 บาท และวันที่ 14 ตุลาคม 2553 จำนวน 3,000 บาท เป็นการโอนเงินเข้าเวลาประมาณ 24.00 น. โดยเฉพาะการโอนเงินตอนเที่ยงคืนมันเป็นไปไม่ได้ จำได้ว่าไม่เคยโอนเงินตอนค่ำคืนดึกดื่น
“จำเป็นต้องเข้ามาขอคำปรึกษาจากศูนย์ดำรงธรรมอำเภอยางตลาดช่วยประสาน และขอให้ทางธนาคารและ กยศ.ตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง” นางจิตตานันท์กล่าว
ด้านนายสุวิศิษฐ์ จำนงพันธ์ ปลัดอำเภอหัวหน้าศูนย์ดำรงธรรม อ.ยางตลาด กล่าวว่า จากการประสานงานทางโทรศัพท์กับธนาคารกรุงไทย สาขาสามพราน และ กยศ. ก็ได้ข้อมูลเดียวกันกับที่นางจิตตานันท์ทราบมา โดยระบุหนี้คงเหลือ 34,500.09 บาท เป็นเงินค้างชำระ 20,030.43 บาท ดอกเบี้ย 1,929.27 บาท และเบี้ยปรับ 12,540.39 บาท หากนางจิตตานันท์มั่นใจว่าตนได้ชำระและปิดบัญชีเงินกู้ กยศ.หมดแล้วก็ให้นำใบเสร็จไปยืนยัน
เมื่อได้รับคำตอบอย่างนี้ สิ่งที่จะคลี่คลายปัญหาได้ก็คือนางจิตตานันท์ต้องไปค้นหาใบเสร็จดังกล่าวให้พบ เพราะทางธนาคารและ กยศ.ก็ยืนยันมาว่าในระบบตรวจเช็กได้แค่นั้น ทั้งนี้ ข้อขัดแย้งใดๆ จะยุติลงได้ก็ต้องอาศัยหลักฐานเป็นเครื่องพิสูจน์ ในกรณีนี้ก็เช่นกัน
ขณะเดียวกันก็ขอให้ทางธนาคารและ กยศ.เข้าตรวจเช็กข้อมูลในระบบอีกที อย่าเพิ่งเร่งรัดหนี้ค้างชำระ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานว่านางจิตตานันท์ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ กยศ.ว่าสาเหตุที่มีหนังสือแจ้งการชำระหนี้เงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ.ด้วยวิธีการหักเงินเดือนนั้น เนื่องจากตรวจเช็กในระบบพบว่าปัจจุบันนางจิตตานันท์ สุริยะพงษ์ธร เป็นพนักงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทาง กยศ.จึงได้มีหนังสือแจ้งชำระหนี้ให้ทราบ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ระหว่าง กยศ.กับผู้กู้
หลังจากได้รับแจ้งดังกล่าว ทำให้นางจิตตานันท์รู้สึกโล่งใจ และมั่นใจว่าปัญหาที่ตนประสบตอนนี้เป็นเพราะข้อมูลของ กยศ.คลาดเคลื่อน เนื่องจากตนทำการเกษตรอยู่ที่บ้านโคกแง้ ต.เขาพระนอน อ.ยางตลาด มาตลอด ในห้วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาไม่เคยทำงานหรือเป็นลูกจ้างบริษัทใดเลย อาจจะเป็นไปได้ว่าชื่อและนามสกุลของตนไปตรงกันกับคนอื่น จึงได้รับหนังสือทวงหนี้ กยศ.ดังกล่าว
กระนั้นก็ตาม ก็คงต้องให้ทาง กยศ.และธนาคารกลับไปตรวจเช็กระบบฐานข้อมูลอย่างละเอียด ซึ่งตนก็รอคำตอบผลการตรวจสอบอยู่ และยังยืนยันว่าตนได้ชำระปิดบัญชีเงินกู้ กยศ.ตั้งแต่ปี 2553 แล้วจริงๆ