กาฬสินธุ์ - พ่อค้าร้านชำเมืองน้ำดำพบยุติธรรมจังหวัด หลังถูกตำรวจ สภ.ลานสัก จ.อุทัยธานี ออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันฉ้อโกง อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ไถเงินชาวบ้าน 150,000 บาท หวั่นเป็นแพะติดคุกฟรี ขณะที่ทนายความประจำสำนักงานยุติธรรมพร้อมช่วยเหลือต่อสู้คดีถึงที่สุดหากเป็นผู้บริสุทธิ์
จากกรณี นายสมาน บุญภา อายุ 57 ปี พ่อค้าร้านชำชาว อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ร้องขอความเป็นธรรม หลังถูกตำรวจ สภ.ลานสัก จ.อุทัยธานี ออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันฉ้อโกง อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ป.ป.ส.เรียกรับเงินชาวบ้านจำนวน 150,000 บาท เจ้าตัวยืนยันไม่เคยเดินทางไป จ.อุทัยธานี และไม่เคยมีพฤติกรรมดังกล่าว คาดว่ามิจฉาชีพนำเอาชื่อ-นามสกุลไปเปิดใช้เบอร์โทรศัพท์ พร้อมวอนขอความเป็นธรรมต่อ ผบ.ตร.ให้ความช่วยเหลือ ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ (2 ก.ค.) นายสมาน บุญภา อายุ 57 ปี พร้อมด้วยนางทองจันทร์ บุญภา อายุ 51 ปี สองสามีภรรยา ชาวบ้านท่าเรือ ม.3 ต.นาเชือก อ.ยางตลาด เข้าขอความช่วยเหลือด้านกฎหมายต่อสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ มีนายชุติเดช เสน่ห์วงษ์ เจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานยุติธรรม และนายสุวิทย์ แสงสิริวัฒนะ ทนายความประจำสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ รับเรื่องและให้คำปรึกษา
นายสมานกล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ตนและครอบครัวทุกข์ใจอย่างมาก เกิดอาการเครียด เบาหวาน ความดันขึ้นทั้งสองคน กลัวจะเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพที่เอาชื่อ-นามสกุล หรือบัตรประชาชนไปเปิดเบอร์โทรศัพท์แล้วใช้ก่อเหตุ กลัวจะตกเป็นแพะถูกติดคุกฟรี
"ผมยังยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นใดๆ กับการฉ้อโกง ตามข้อกล่าวหา ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเดินทางไปที่อุทัยธานีแม้แต่ครั้งเดียว" นายสมานกล่าว และว่า
ดังนั้น ตนอยากขอความช่วยเหลือด้านคดีความต่อสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ และอยากขอความช่วยเหลือไปยังท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เพื่อกำชับตำรวจตรวจสอบประวัติหรือความเชื่อมโยงด้วยว่าตนไปเกี่ยวข้องได้อย่างไร โดยตนพร้อมที่จะเดินทางไปให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ลานสัก จ.อุทัยธานี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ และจะสู้จนถึงที่สุด
ด้านนายสุวิทย์ แสงสิริวัฒนะ ทนายความประจำสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า หลังจากได้รับเรื่องแล้วจะให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอน ทั้งนี้ จากการประสานข้อมูลเบื้องต้นกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ลานสัก จ.อุทัยธานี และสอบถามข้อมูลกับนายสมานแล้ว สรุปแนวทางต่อสู้คดี 2 ประการ
คือ ไล่เช็กไทม์ไลน์ของหมายเลขโทรศัพท์ เบอร์ที่ผู้ร้องอ้างว่านายสมานโทร.ไปเรียกรับเงิน โดยจะไปขอตรวจกับเครือข่ายของโทรศัพท์หมายเลขนั้น และแนะนำให้นายสมานไปแสดงตัวตามหมายเรียก เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง
นายสุวิทย์บอกว่า สำหรับคดีนี้ไม่ยุ่งยาก แต่อาจจะใช้เวลาติดตามบุคคลและตรวจเช็กหมายเลขโทรศัพท์ ว่าใครเป็นคนโทร.เรียกรับเงินกับผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้ว่าขณะโทร.นั้น วัน เวลาไหน และสถานที่ใด นายสมานอยู่ตรงนั้นหรือไม่ หากตรวจพบว่ามีบุคคลแอบอ้าง นำเอกสารส่วนตัวของนายสมานไปลงทะเบียนใช้เบอร์โทรศัพท์ โดยที่นายสมานไม่มีส่วนรู้เห็น จะเข้าข่ายลักลอบนำไปใช้ในทางทุจริต ทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน เสียหาย ก็สามารถที่จะแจ้งความเอาผิดต่อบุคคลนั้นหรือเครือข่ายหมายเลขโทรศัพท์นั้นได้ ซึ่งสำนักงานยุติธรรมพร้อมช่วยเหลือเต็มที่หากตรวจสอบแล้วพบว่าผู้ร้องบริสุทธิ์และไม่ได้ก่อเหตุจริง