กาญจนบุรี - เมืองกาญจน์เจอฝุ่นพิษ PM 2.5 พุ่ง คุณภาพอากาศอยู่ในระดับสีแดง 195 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เหตุจากคนเผาก็เผาไป ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ภาครัฐก็เพิกเฉย โลกโซเชียลถล่มยับ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งติดอันดับต้นๆ ของปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่น PM 2.5 พบว่า หมอกควันไฟสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณ และหนาแน่นตลอดทั้งวัน ปกคลุมจนขาวโพลนไปทั่วทุกพื้นที่ของจังหวัด ซึ่งเกิดจากการเผาไร่อ้อย เผาวัชพืชตอซังข้าว และเผาป่าในหลายจุด โดยจุดที่มีการเผาส่วนใหญ่จะปรากฏเปลวไฟเห็นอย่างชัดเจนในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดหมอกควันไฟและฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐานลอยสะสมอยู่ในพื้นที่มานานหลายสัปดาห์ และวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยมีการลักลอบเผาอ้อย เพื่อเร่งตัดส่งเข้าโรงงานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั่วทั้งจังหวัดเกิดควันไฟและมลพิษปกคลุมเป็นบริเวณกว้าง เกิดขี้เถ้าสีดำจากการเผาตกกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนเป็นอย่างหนัก และยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้างอีกด้วย
ขณะที่นักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางมาเที่ยวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยการนั่งรถไฟสายธนบุรี-น้ำตก เพื่อชมความงดงามของธรรมชาติตามเส้นทางรถไฟสายมรณะอันเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ก็ประสบปัญหาฝุ่นละอองพิษเช่นกัน โดยจะเห็นว่ามีขี้เถ้าสีดำที่เกิดจากการเผาลอยมาติดตามเสื้อผ้า และพบว่าตลอดสองข้างทางจะพบเห็นร่องรอยของการเผาอย่างชัดเจน อีกทั้งยังพบว่าฝุ่นละอองขนาดเล็กยังปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นภูเขา และความสวยงามของธรรมชาติได้เต็มตา โดยนักท่องเที่ยวบางคนนั่งมาได้ระยะหนึ่งต้องหาผ้าเช็ดหน้ามาปิดจมูกและปาก เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพของตัวเอง
โดยนักท่องเที่ยวกล่าวในทำนองเดียวกันว่า พื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีมีฝุ่นละอองขนาดเล็กเยอะมาก จะมองเห็นได้ชัดจากเขม่าสีดำที่ลอยมาติดเสื้อสีผ้าสีขาว พร้อมกับแนะนำให้หาผ้าหรือหน้ากากมาสวมใส่ไว้เพื่อป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 เพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก
ด้าน นายเสนาะ อำนวย ชาวบ้านหนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ที่ได้รับผลกระทบจากการเผาอ้อย กล่าวว่า ตนได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก โดยพบว่าที่พักอาศัย รวมไปถึงห้องนอนจะเต็มไปด้วยเขม่าสีดำที่เกิดจากการเผาลอยมาตามลมตกอยู่ตามพื้น และข้าวของเต็มไปหมด ส่วนผ้าที่ซักตากไว้ก็ต้องนำมาซักใหม่ และยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้เกิดอาการแพ้ คัน แสบตา แสบจมูก จึงอยากให้จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในระยะยาว ไม่ใช่เพียงแค่ออกมาตรการห้ามเผาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่อยากให้สั่งห้ามเผาโดยเด็ดขาดทุกกรณี เพราะถ้ายังคงปล่อยให้มีการเผาเช่นนี้อยู่ต่อไป ระยะยาวก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในที่สุด
สำหรับในวันนี้ คุณภาพอากาศในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ยังคงเกินค่ามาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม และบางแห่งขยับพุ่งสูงไปอยู่ระดับสีแดง โดย จ.กาญจนบุรี พบคุณภาพอากาศเกินค่ามาตรฐานติดต่อกันมานานตั้งแต่ปลายปี 2562 ที่ผ่านมา และสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยพบว่า สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัตโนมัติที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ได้รายงานค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 110-195 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ซึ่งพื้นที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี อยู่ที่ระดับสีแดง วัดค่าได้สูงสุด 195 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร คุณภาพอากาศอยู่ในระดับสีแดง ซึ่งก่อนหน้านี้เคยพุ่งขึ้นไปถึง 210 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร มีกระทบต่อสุขภาพ ส่วนในพื้นที่อำเภออื่นๆ ปรากฏว่า พบมี 7 อำเภอ อยู่ที่ระดับสีแดง และ 5 อำเภอ อยู่ในระดับสีส้ม โดยเกินค่ามาตรฐานทุกพื้นที่
ขณะเดียวกัน ได้มีประชาชนร้องเรียนแจ้งให้ทางอำเภอและจังหวัดกาญจนบุรีเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งใช้ช่องทางโซเชียลเรียกร้องให้ทางจังหวัดเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแนะวิธีการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่ที่ผ่านมา นอกจากจะไม่ได้รับการตอบสนอง และเพิกเฉยต่อปัญหาแล้ว ยังคงปรากฏว่า มีเกษตรกรผลัดเปลี่ยนกันเผาไร่อ้อยกันต่อเนื่องทุกวัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ จังหวัดกาญจนบุรี ได้ออกประกาศกำหนดพื้นที่และมาตรการควบคุมผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง แล้วก็ตาม ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการจับกุมหรือดำเนินการเอาผิดต่อผู้กระทำผิดสักรายเดียว