บุรีรัมย์ - คืบหน้าบริษัทขายรถจักรยานยนต์ยืนยันไม่เกี่ยวข้องรู้เห็นกับทนายแสบฟ้องยึดบ้านที่ดิน 14 ไร่ของป้าบุรีรัมย์เหยื่อที่ค้ำประกันเช่าซื้อรถให้คนรู้จัก พร้อมให้ตรวจสอบ ยอมรับบริษัทได้รับผลกระทบคนเข้าใจผิด ขณะทนายยื่นมือช่วยเหยื่อเผยเรื่องคดีสู้ยากขึ้นอยู่กับศีลธรรม
วันนี้ (9 ม.ค.) ความคืบหน้ากรณี นางวัฒนา คงงาม หรือ ป้าวรรณ อายุ 56 ปี ชาวบ้านบ้านสายโท 2 ใต้ ต.ปราสาท อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ได้ขึ้นป้ายที่บริเวณหน้าบ้าน ข้อความว่า “ท่านนายกฯ ลุงตู่ช่วยชาวบ้านด้วย ค้ำประกันรถมอเตอร์ไซค์ 80,000 บาท ยึดที่ดิน 14 ไร่ ถูกจับขังคุก ไม่มีที่ยืนในสังคมแล้ว เดือดร้อนมากจริงๆ” หลังจากที่ไปค้ำประกันซื้อรถจักรยานยนต์ให้คนรู้จักต่างหมู่บ้าน แต่ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระติดค้างค่างวด 36 งวด แล้วถูกทนายความฟ้องให้รับผิดชอบทั้งค่ารถและดอกเบี้ยแทนผู้เช่าซื้อเป็นเงินทั้งสิ้น 82,040 บาท ซึ่งได้มีการนัดไกล่เกลี่ยที่ศาลแต่ไม่ได้ไปเพราะป่วย ทางทนายจึงบอกให้เซ็นมอบอำนาจไปแทน ด้วยความเชื่อใจและไม่ได้คิดว่าจะเกิดปัญหาอะไรจึงเซ็นมอบอำนาจไป หลังจากนั้นกลับมีป้ายมาติดที่บ้านว่าโดนยึดทรัพย์บ้านและที่ดิน 14 ไร่ที่อาศัยอยู่ปัจจุบันขายทอดตลาด ซึ่งทนายคนดังกล่าวเป็นคนไปประมูลซื้อบ้านและที่ดินของตนเองในราคา 340,000 บาท ด้วยความที่ไม่รู้กฎหมายทนายบอกว่าไม่ต้องค้านเดี๋ยวจัดการให้เอง พอไปขอเจรจาซื้อบ้านและที่ดินคืนจากทนายในราคา 500,000 บาท กลับไม่ยอม แต่จะให้ซื้อคืนในราคา 4 ล้านบาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด นายรังสรรค์ วาลีประโคน ทนายความที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือป้าวัฒนาที่ตกเป็นเหยื่อ บอกว่า ข้อเท็จจริงแล้วราคารถจักรยานยนต์ที่ป้าวัฒนาไปเซ็นค้ำประกันเพียง 40,000 กว่าบาทเท่านั้น แต่พอผู้เช่าซื้อค้างชำระทางบริษัทจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายทั้งต้นและดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 80,000 บาท ยอมรับว่ากรณีที่เกิดขึ้นเพราะคุณป้าไม่รู้ขั้นตอนของกฎหมายและไม่มีเงินที่จะจ้างทนายไปสู้คดี จึงทำให้ถูกฟ้องยึดบ้านและที่ดิน ซึ่งตอนนี้หากจะสู้เรื่องคดีในตอนนี้คงจะยาก ก็คงจะขึ้นอยู่กับศีลธรรมและขอความเห็นใจจากผู้ที่ซื้อไปแล้วมากกว่า อยากให้กรณีที่เกิดขึ้นกับคุณป้าเป็นตัวอย่างสำหรับคนที่จะไปเซ็นค้ำประกันให้ใคร ควรจะรอบคอบให้มาก ไม่เช่นนั้นอาจประสบชะตากรรมเหมือนกับคุณป้า
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อเพื่อจะขอสัมภาษณ์ทนายความที่ถูกกล่าวอ้างถึงแต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้ไปขอสัมภาษณ์ตัวแทนบริษัทจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ซึ่งอนุญาตให้บันทึกเสียงได้ แต่ไม่ขอเปิดเผยใบหน้าหรือชื่อของบริษัท
โดยได้ชี้แจงให้ฟังว่า กรณีดังกล่าวนายปรีชา ลูกค้าได้มาเช่าซื้อรถที่ร้านเมื่อเดือน เม.ย. 2557 จากข้อมูลพบว่าลูกค้ารายดังกล่าวมีการชำระเงินเพียง 4 งวด หลังจากนั้นก็ไม่ได้ชำระเลย ซึ่งช่วงที่ค้างชำระทางบริษัทได้มีการติดตามทวงถาม ทั้งการโทรศัพท์ และส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายเร่งรัดไปติดตามทวงถามที่บ้านหลายครั้ง แต่ยังมีการชำระผิดนัดถึง 36 งวด
กระทั่งเมื่อปี 2562 ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปติดตามที่บ้านก็ไม่พบทั้งผู้เช่าซื้อและรถจักรยานยนต์ ทางบริษัทจึงจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยการฟ้องผู้ค้ำประกัน ซึ่งได้มอบหมายให้ทนายเป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการกฎหมาย โดยทนายความเป็นคนไปทำการสืบทรัพย์เอง เพราะทางบริษัทไม่ได้มีนโยบายที่จะไปซื้อที่ดินของชาวบ้านเพื่อมาขายเก็งกำไรอยู่แล้ว
พร้อมชี้แจงด้วยว่า ทนายความที่ดำเนินการกรณีนี้ก็ไม่ได้เป็นพนักงานประจำของบริษัท แต่ทางบริษัทจ้างมาเป็นกรณีๆ แต่ทุกวันนี้ไม่ได้จ้างแล้ว กรณีที่เกิดขึ้นเขาไปทำการติดต่อซื้อขายตามกระบวนการของกฎหมายบังคับคดี ทางบริษัทไม่ได้เกี่ยวข้องรู้เห็นด้วยเลย แต่พอทางบริษัททราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตนในฐานะที่เคยเป็นผู้ว่าจ้างก็พยายามพูดคุยกับทนายคนดังกล่าวหลายครั้งว่าอย่าทำแบบนั้นเลยบวกกำไรนิดๆหน่อยๆ ก็พอแล้ว อย่าไปทำนาบนหลังคนเลย มันไม่ดีบาปกรรมเปล่าๆ แต่คนที่ไม่รู้ก็มาพาดพิงและเข้าใจผิดว่าบริษัทมีส่วนรู้เห็นด้วย ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายหาว่าไปร่วมมือ หรือสมรู้ร่วมคิดกับทนาย
ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับกรณีที่เกิดขึ้น พร้อมให้ไปตรวจสอบเส้นทางการเงินได้เลยว่าไม่มีการโอนเงินให้ทนายไปซื้อที่ดินหรือเล่นละครตบตาชาวบ้านอย่างแน่นอน ขอยืนยันด้วยศักดิ์ศรีที่ทำการค้าขายรถจักรยานยนต์มากว่า 30 ปี ไม่เคยทำเรื่องอะไรแบบนี้เลย