ลำปาง - เปิดใจทีมกู้ภัยลำปางที่เคยร่วมปฏิบัติภารกิจช่วย 13 หมูป่าฯ ติดถ้ำหลวงกับกระแสดรามาหนัง The Cave;นางนอน ยอมรับไม่ใช่หนังเชิงสารคดี-ผิดจากที่อยากเห็น แต่เข้าใจได้เขาคงทำเชิงพาณิชย์-ทำให้ขายได้
หลังจากเกิดกระแสดรามาเกี่ยวกับหนัง THE CAVE;นางนอน..นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง (ผู้ว่าฯ หมูป่า) ไม่ปลื้ม เนื่องจากภาพที่ปรากฏในหนังบางส่วนไม่ตรงกับความจริง และมีการเสริมบทจนกลายเป็นการล้อเลียนการทำงานของข้าราชการไทย ทั้งๆ ที่สถานการณ์ขณะนั้นเป็นเรื่องที่เคร่งเครียดและต้องเด็ดขาด อีกทั้งภาพยนตร์ไม่ได้กล่าวถึงผู้คนกว่าหมื่นคนที่มาช่วยกันเลย ทำให้เสียความรู้สึกและเสียใจกับภาพที่ปรากฏและจะมีการนำเผยแพร่ทั่วโลก
ต่อมาผู้กำกับชื่อดัง ทอม วอลเลอร์ แห่งเดอะวอร์เรนท์ พิคเจอร์ส ได้ออกมาเขียนเฟซบุ๊กส่วนตัวตำหนิผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ว่า..เมื่อคืนผมไปงานเปิดตัวหนังที่ลำปาง และมีโอกาสได้พบกับท่านผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ในครั้งกู้ภัยถ้ำหลวง ความประทับใจเริ่มแรกที่ผมได้รับราว 20 นาที ที่ท่านด่าหนังผมให้ฟังว่าไม่เป็นจริง ดูจากตัวอย่างหนังแล้วไม่ควรเรียกว่าภาพยนตร์ based on a true story ควรเป็นแค่ภาพยนตร์ธรรมดา ท่านไม่มีเวลากระทั่งทักทายหรือมองหน้าจิม
..กระทั่งเข้าโรงภาพยนตร์ ท่านยังต่อว่าไม่หยุด 'ในภาพยนตร์มีตั้งหลายหน่วยงานที่ทำให้ภารกิจสำเร็จ ทำไมเล่าแต่ของผู้ใหญ่ของจิม ไม่มีที่เขาเดินสำรวจขุดเจาะถ้ำ ภาพยนตร์ไม่ตรงกับความจริง...' แล้วท่านเดินออกจากโรงไป..ผมไม่อยากให้ท่านตัดสินว่าภาพยนตร์ผมไม่ตรงความจริงเพียงเพราะท่านรับชมจากตัวอย่างภาพยนตร์ หรือคำรีวิว ที่บอกว่าสร้างมาล้อเลียนข้าราชการ ถ้าท่านชมภาพยนตร์จบแล้วต่อว่าหนังผม อันนั้นผมยอมรับได้
ท่านบอกภาพยนตร์ไม่ตรงความจริง ใช่ครับ มีซีนหนึ่งที่ไม่ตรงจริง เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ไม่ได้เป็นคนไล่อาจารย์อดิสรณ์ให้ไปเก่งที่นครปฐม แต่เป็นคำพูดของคนที่ไม่มีโอกาสได้ดูเพราะนั่งอยู่แค่ 3 นาทีครับ”
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมสมาคมกู้ภัยลำปางที่เดินทางไปช่วยสนับสนุนการช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมีติดถ้ำหลวง คือ นายอนิรุทธิ์ ปิยปาณานนท์ อายุ 41 ปี นายณัฐพล วงศ์สุวรรณ อายุ 28 ปี และนายฉัตรเกล้า แก้วแกมเสีย อายุ 25 ปี
ทั้งสามเล่าให้ฟังว่า ในครั้งนั้นสมาคมกู้ภัยลำปางได้ไปช่วย 2 ทีม คือทีมแรกชุดประดาน้ำ ตอนแรกที่ไปน้ำยังไม่ลึกคือน้ำยังไม่มา เราก็ทำหน้าที่ในการต่อสายไฟเข้าไปในถ้ำเพื่อสูบน้ำออกมาจากถ้ำ แต่หลังจากที่ฝนตกทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น ทางทีมกู้ภัยทั้งหมดก็เปลี่ยนมาเป็นทีมเสริมให้หน่วยซีลเพื่อลำเลียงขวดอากาศและอุปกรณ์เข้าไปส่งให้หน่วยซีลที่ตั้งจุดอยู่ด้านในถ้ำ และชุดที่สองคือทีมทั่วไปทำหน้าที่ประสานงาน-ลำเลียงอุปกรณ์ต่างๆ จากปากถ้ำไปยังจุดที่จะเริ่มดำน้ำในถ้ำ และอีกส่วนก็ประสานงานหน่วยงานต่างๆ ด้วยวิทยุจากปากถ้ำเข้าไปในถ้ำ เพื่อสอบถามความต้องการภายในว่าต้องการอะไรก็จะลำเลียงเข้าไปเสริม
ส่วนที่ภาพยนตร์เรื่องTHE CAVE;นางนอน ออกฉายแต่มีเพียงนักดำน้ำคนเดียวที่เป็นตัวชูโรง โดยไม่พูดถึงหน่วยงานอื่นเลย ซึ่งเรื่องนี้ที่ผู้ว่าฯ หมูป่าไม่ค่อยพอใจนั้นตนก็เห็นว่าหนังที่ทำขึ้นก็คงออกแนวฝรั่ง และไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ของไทยมาก แต่ไปเน้นต่างชาติ ซึ่งก็จะต่างจากที่ท่านผู้ว่าฯ อยากเห็น คืออยากเห็นทั้งทีมกู้ภัย ชาวบ้าน ทหาร ตำรวจ หน่วยงานและทุกฝ่าย
“หนังที่ออกมากลับเป็นว่าเห็นแต่การทำงานของฝรั่งทีมเดียว ซึ่งตนเห็นว่าหลักๆ แล้วควรเป็นของคนไทยมากกว่า เพราะที่เกิดเหตุก็อยู่ในประเทศไทย การสั่งการทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับผู้ว่าฯ ทีมของเขาเป็นแค่ทีมเสริม ส่วนตัวเห็นว่าหากผู้กำกับฯ ต้องการเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยไปทำ ก็อยากให้เห็นความร่วมมือและเห็นพลังของคนไทยที่ไปช่วยกัน รวมถึงฝรั่งที่มีใจเข้ามาช่วย แต่เนื้อหาหนังที่ออกมาอาจจะโฟกัสผิดจุดหรือผิดเพี้ยนไปจากความจริง”
เมื่อถามว่าน้อยใจไหมที่ไม่มีปรากฏการทำงานของทีมกู้ภัยต่างๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย นายนิรุทธิ์กล่าวว่าส่วนตัวไม่เพราะทุกคนมาทำงานช่วยเหลือมาด้วยใจกันอยู่แล้ว แต่เมื่อเป็นข่าวออกไปแบบนี้ตนก็อยากเห็นภาพความร่วมมือร่วมใจกันของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะกู้ภัย และไม่อยากเอาประเด็นความขัดแย้งในการทำงานมาเป็นเป้าหลัก
ภาพบางฉากที่ปรากฏในหนังไม่เป็นความจริง ในฐานะที่เป็นคนทำงาน ณ จุดนั้นมองอย่างไร นายณัฐพลกล่าวว่า “ผู้กำกับฯ อาจจะมองว่ามันเป็นแค่หนังเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเป็นเค้าโครงในการสร้าง แต่ในมุมมองเราอาจจะอยากเห็นเป็นหนังเชิงสารคดี อยากเห็นความเป็นจริงมากกว่านี้ คือสารคดีที่มาจากเรื่องจริง เค้าโครงจริง เรื่องจริง แต่ก็เข้าใจได้ว่าผู้กำกับทำหนังเรื่องนี้ออกมาก็คงทำเพื่อเชิงพาณิชย์ อาจจะมีการตัดต่อ เสริมบทเข้าไปเพื่อให้น่าสนใจ เพื่อให้ขายได้”