พิจิตร/พิษณุโลก - ของเล่นเกษตรกรยุคใหม่ 4.0..แม่ทัพภาคที่ 3 ทึ่ง หนุ่มกำแพงเพชรจบการศึกษาระดับมัธยมซื้อโดรนต่อยอดแบกน้ำหนักได้ 10 กิโลกรัม เปิดบริษัทรับบินให้ปุ๋ยน้ำทางอากาศทั่วไทย-กัมพูชา
รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างที่ พลโท วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ไปเป็นประธานในพิธีรับมอบเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทานจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 52,650 กิโลกรัม ที่พระราชทานแก่เกษตรกรในจังหวัดพิจิตรที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ 395 ราย พื้นที่ปลูก 3,500 ไร่ ณ เวทีชั่วคราวที่ว่าการอำเภอวชิรบารมี จ.พิจิตร เมื่อเร็วๆ นี้
โอกาสเดียวกันนี้ แม่ทัพภาคที่ 3 ก็ได้เดินเยี่ยมชมบูทของภาคราชการและเอกชนที่จัดรอบๆ หน้าอำเภอวชิรบารมีด้วย ซึ่งบูทหนึ่งที่แม่ทัพภาคที่ 3 ให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ บูทที่มีการโชว์โดรนขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายเครื่องบินบรรทุกน้ำ
นายปภังกร โชคทวีชัยเจริญ วัย 39 ปี เจ้าของบริษัท เอสบีวัน แอนด์ ซีนส์โบ อินโนเวชั่น 99 จำกัด ที่พัฒนาต่อยอดเครื่องบินโดรนขนาดใหญ่ดังกล่าว บอกว่า แม้ตนจะจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา บ้านเกิดเป็นคนกำแพงเพชร พ่อแม่ทำไร่อ้อย แต่ก็ดิ้นรนพลิกผันชีวิตเป็นนักประดิษฐ์พัฒนาต่อยอดโดรน จนเป็นเจ้าของบริษัทและมีบริษัทลูก คือ SB 1 พิษณุโลก และมีสาขาที่แพร่ด้วย
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตนได้ซื้อโดรนมาในราคา 5.7 แสนบาท แต่ปัจจุบันราคาลดลงเหลืออยู่ 1.5 แสนบาทแล้ว นำมาต่อยอด จากโดรนที่มีน้ำหนักเฉลี่ย 10 กิโลกรัม ให้สามารถแบกน้ำหนักบรรทุกน้ำ (สาร) อีก 10 กิโลกรัม รวมน้ำหนักทั้งหมด 20 กิโลกรัม
และได้ขึ้นทะเบียนกรมการบินพลเรือน-ขึ้นทะเบียนนักบิน รับจ้างบินฉีดพ่นนาข้าวและแปลงดาวเรือง ลักษณะขายปุ๋ย (สารเร่ง) เพิ่มผลผลิต พร้อมขายสารเร่ง เบื้องต้นมีอัตราค่าใช้จ่ายบินฉีดพ่นอัตราไร่ละ 250 บาท ซึ่งเจ้าของนาหรือเจ้าของสวนนั่งดูเฉยๆ เท่านั้น ปล่อยให้โดรนทำงาน ได้ทั้งประสิทธิภาพ ประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน ประหยัดน้ำ
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาทีมงานของบริษัทยังได้ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง ใช้โดรนบินบรรจุสารจุลินทรีย์พ่นฆ่าผักตบชวากลางแม่น้ำเพื่อให้ผักตบแห้งและตายจมลงน้ำ และกำลังร่วมกับ มจล.ศึกษาวิจัยว่าเครื่องบินลักษณะเฮลิคอปเตอร์ ใช้ใบพัด 1 ตัว (มอเตอร์ 1 ตัว) สามารถใช้งานฉีดพ่นบนอากาศได้ดีกว่าโดรนตัวใหญ่ ซึ่งมีเครื่องยนต์หลายตัวหรือไม่ มีผลดีและผลเสียอย่างไรบ้างด้วย
“ประเทศไทยใช้โดรนขนาดใหญ่บินอยู่ 2 ตัว ลำแรกบินทำงานที่ประเทศกัมพูชา และลำที่สองบินทำงานที่ จ.นครปฐม และวางแผนไปบินต่อที่ จ.ราชบุรี แต่ประเมินว่าอีกไม่เกิน 2 ปีราคาโดรนอาจลดเหลือแค่ 7-8 หมื่นเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้มีบริษัทคู่แข่งเกิดขึ้น แต่ก็เชื่อว่าเป็นผลดี หากมีโดรนเข้าสู่ตลาดมากขึ้นราคาก็จะลดลงโดยอัตโนมัติ ขณะที่บริษัทฯ ก็ต้องคิดค้นหาชิ้นส่วนมาประกอบเพิ่มประสิทธิภาพการบินให้มากขึ้นด้วย”