ชัยภูมิ - 44 ปี ซาบซึ้งมิเคยลืม! ชาวแก้งคร้อ ชัยภูมิ ไฟป่าลามไหม้ยกหมู่บ้าน ปี 2515 “พ่อหลวง ร.๙” เสด็จพระราชทานสร้างบ้านช่วยเหลือ 124 ครอบครัว พร้อมมอบเงินส่วนพระองค์เป็นทุนประกอบอาชีพสร้างชีวิตใหม่รายละ 500 บาท ทำให้มีอยู่ มีกิน และยึดมั่นความเป็นอยู่แบบพอเพียงมาจนปัจจุบัน พร้อมอนุรักษ์รูปแบบบ้านพระราชทานให้คงอยู่สืบลูกหลานและชุมชน เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป
วันนี้ (20 ต.ค.) คุณยายสำลี คลังชำนาญ ปัจจุบัน อายุ 79 ปี อยู่บ้านเลขที่ 21 หมู่ 6 ชาวบ้านหนองไผ่ล้อม ต.นาหนองทุ่ม อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เปิดเผยว่า ในอดีตเมื่อครั้งปี 2515 ชาวอำเภอแก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เคยได้รับพระเมตตามหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งใหญ่ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟป่าในพื้นที่ลุกลามเข้ามาไหม้หมู่บ้านสร้างความเสียหายเกือบทั้งหมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนถูกไฟไหม้เสียหาย 124 หลังคาเรือน และไม่มีที่อยู่อาศัย ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินพร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ด้วยเฮลิคอปเตอร์มาเยี่ยมเยือนผู้ประสบภัยไฟป่าไหม้หมู่บ้านที่บ้านหนองไผ่ล้อม ต.นาหนองทุ่ม อ.แก้งคร้อ ที่บ้านเรือนเสียหาย 124 หลังคาเรือน ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างบ้านหลังใหม่ให้แก่ชาวบ้านผู้ประสบภัยทั้ง 124 หลังคาเรือน พร้อมพระราชทานเงินส่วนพระองค์ให้เป็นทุนไว้ประกอบอาชีพทุกคนทุกหลังคาเรือน ซึ่งตนได้เก็บธนบัตรฉบับละ 100 บาท ที่ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลจนถึงทุกวันนี้ โดยในการก่อสร้างบ้านช่วยเหลือราษฎรในครั้งนั้น บ้านทุกหลังจะมีเสา 9 ต้น ยกพื้นสูง หลังคามุงสังกะสี ฝาบ้านทำจากไม้ไผ่ หรือใบตองตึง
คุณยายสำลี หนึ่งในผู้ประสบภัยไฟป่าไหม้บ้านเรือนเมื่อ 44 ปีที่แล้ว เล่าต่อทั้งน้ำตาว่า ประชาชนชาวบ้านหนองไผ่ล้อมต่างซาบซึ้งและจดจำไม่เคยลืมเลือนในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างหาที่สุดมิได้แม้เวลาจะผ่านมายาวนานแค่ไหนก็ตาม ช่วงแรกหลังจากไฟไหม้หมู่บ้าน ชาวบ้านอดอยากแร้นแค้นเป็นอย่างมาก ต้องออกไปขุดหาหัวหัวกลอยมากินแทนข้าวประทังชีวิตเพราะข้าวสารไม่มีเหลือแต่เมล็ดเดียวเนื่องจากบ้านเรือนถูกไฟป่าเผาไหม้หมดเกือบทั้งหมู่บ้าน เหลือเพียงบ้าน 3 หลังเท่านั้นที่รอดจากถูกไฟไหม้ครั้งนั้น
หลังจากที่ได้รับพระราชทานบ้าน 1 หลัง พร้อมเงินพระราชทาน 500 บาท แต่ละครอบครัวต่างพากันเก็บธนบัตรพระราชทานฉบับละ 100 บาท ไว้เป็นขวัญถุงและเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ 1 ฉบับ และอีก 400 บาทนำไปใช้ลงทุนทำนาและใช้จ่ายจำเป็นในครัวเรือน จนทำให้ทุกครัวเรือนมีอยู่มีกินจวบจนทุกวันนี้ และยึดมั่นใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามหลักคำสั่งของพ่อหลวงมาโดยตลอด
“นับตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตวันที่ 13 ตุลาคม เป็นต้นมาจนถึงวันนี้ยังร้องไห้ทุกวัน เพราะพ่อหลวงเราจากเราไปแล้ว ต่อแต่นี้ไปเราจะหาพ่ออันเปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้เช่นนี้ได้จากที่ไหนอีก ชาวบ้านที่นี่ต่างบอกว่า หากให้ตายแทนพระองค์ได้แล้ว พร้อมยอมตายแทนได้ทุกเมื่อ” คุณยายสำลีกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มว่า บ้านเรือนหลายหลังในหมู่บ้านแห่งนี้ ยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนพระราชทานแบบดั้งเดิมเอาไว้ คือ มีเสา 9 ต้น หลังคามุงสังกะสียกพื้นสูง มีเพียงฝาบ้านเท่านั้นที่เปลี่ยนเป็นสังกะสี เช่น บ้านของนายคำแปลง หูชัยภูมิ อายุ 75 ปี เลขที่117 หมู่ 6 ต.นาหนองทุ่ม และบ้านของนายทองสุข คำพล ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว แต่ญาติพี่น้องยังรักษาไว้คงเดิม
ด้านนายสุวงค์ โคนชัยภูมิ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 กล่าวว่า ชาวหมู่บ้านหนองไผ่ล้อมทุกหลังคาเรือนไม่เคยลืมพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แม้ผ่านมาถึง 44 ปีแล้ว ปัจจุบันบ้านหลายหลังยังมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์เมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมและสร้างบ้านพระราชทานให้ประชาชนผู้ประสบอัคคีภัย เพื่อให้ลูกหลานในหมู่บ้านได้ช่วยกันอนุรักษ์บ้านพระราชทานและสืบสานความเป็นอยู่อย่างพอเพียงในชุมชนแห่งนี้ เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป