xs
xsm
sm
md
lg

“เศรษฐกิจพอเพียง พลิกชีวิต” ผญบ.กะเหรี่ยงเชียงใหม่เผยจากไม่มีรองเท้าใส่ วันนี้ทำรายได้ 3 หมื่น/เดือน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เชียงใหม่/ลำปาง - “พ่อหลวง รัชกาลที่ ๙” ไม่เคยทอดทิ้ง ยายวัย 66 ชาวลำปางกอดพระบรมฉายาลักษณ์เล่าทั้งน้ำตา “มีบ้านอยู่ หลานเรียนจบ เพราะพ่อ” ขณะที่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทำชาวกะเหรี่ยงแม่วาง เชียงใหม่ “อยู่ดีมีสุข” ทั้งหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านหนุ่มยืนยันจากเด็กไม่มีรองเท้าใส่ มีเสื้อผ้าแค่ 2 ชุด วันนี้ขายผลผลิตได้เดือนละ 3 หมื่นบาท

วันนี้ (19 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางวิไลวรรณ รัตน์พิทักษ์ อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11 ซอย 2 ถ.นาก่วม ต.สบตุ๋ย อ.เมืองลำปาง เป็นอีกหนึ่งในพสกนิกรไทยลูกของ “พ่อหลวง รัชกาลที่ ๙” ที่ตกทุกข์ได้ยากแล้วไม่เคยถูกทอดทิ้งให้อยู่ในซอกหลืบในสังคมอย่างเดียวดาย

นางวิไลวรรณ ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด7 คน ไม่มีเงินที่จะมาปลูกบ้านหลังใหม่ ได้ให้ลูกสะใภ้ถวายฎีกาทูลเกล้าฯ ขอบ้านจาก “ในหลวง” เมื่อปี 57 เนื่องจากบ้านหลังเดิมที่อยู่อาศัยเป็นบ้านไม้ที่มีสภาพเก่าผุพัง ต่อมาปี 58 เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, เจ้าหน้าที่เทศบาลนครลำปาง ได้มาทำการก่อสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นเป็นบ้านปูนชั้นเดียว 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ เพื่อทดแทนบ้านหลังเดิมให้

นางวิไลวรรณกอดพระบรมฉายาลักษณ์ “ในหลวง ร.๙” ที่ได้มาตอนเป็นลูกเสือชาวบ้าน เล่าทั้งน้ำตาว่า นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านทรงช่วยเหลือราษฎรที่ลำบาก พระองค์ท่านทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ในการสร้างบ้านหลังใหม่ให้ รู้สึกปลาบปลื้มและดีใจเป็นที่สุด อีกทั้งยังได้ทุนการศึกษาให้หลานอีก 2 คนเรียนจนจบถึงปริญญาตรี

นางวิไลวรรณเล่าต่อว่า ทุกวันนี้มีรายได้จากเงินผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาทเท่านั้น และยังมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หากไม่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ท่าน ลำพังแล้วครอบครัวตนเองไม่มีปัญญาที่จะสร้างบ้านอยู่อาศัยแน่นอน

“พอรู้ข่าวการเสด็จสวรรคตแล้ว ทุกคนในครอบครัวต่างรู้สึกตกใจ และเสียใจเป็นที่สุด จนพูดอะไรไม่ออก”

ขณะที่นายสุดี มิตรยอดดอย วัย 47 ปี ผู้ใหญ่บ้านแม่เตียน ชุมชนชาวกะเหรี่ยง ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ที่ยึดอาชีพเกษตรกรรมเลี้ยงดูครอบครัวมาตั้งแต่วัยเยาว์ บอกว่า รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งหลังทราบข่าวพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นเสาหลักของตนและคนไทย เสด็จสวรรคต ทำให้นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว

“ไม่เพียงแต่ผมเท่านั้น ชาวบ้านในพื้นที่ที่ทราบข่าวต่างพากันไปทำบุญที่วัดเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน”

นายสุดีเล่าว่า ขณะอายุ 13 ปีได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขณะเสด็จพระราชดำเนินเยือนแปลงปลูกผักสลัดแก้ว โครงการหลวงแม่แฮ บริเวณกลางแปลงปลูกกะหล่ำที่บ้านแม่เตียนใน โดยมีอาจารย์โครงการหลวงแม่แฮได้พาเข้าเฝ้าฯ

ซึ่งตอนนั้นตนไม่กล้าพูดคุยกับพระองค์ท่าน และตนยังพูดภาษาไทย ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง เลยไม่ทราบว่าพระองค์ท่านตรัสอะไรกับตน แต่รู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกว่าตนโชคดีกว่าคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน รวมถึงพ่อแม่ที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จจำนวนมาก โดยขณะนั้นพระองค์ท่านทรงถือสมุดเล่มใหญ่คล้ายๆ แผนที่ เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ต่อมาเมื่อเติบโตขึ้นจึงได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านมาใช้ในการดำเนินชีวิต ปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ปลูกดอกไม้ ผลไม้ส่งขาย ที่เหลือก็เก็บไว้กิน และแบ่งปันให้ชาวบ้านที่เขาเดือดร้อนกว่าไปกินไปใช้ ทำให้ชีวิตมีความสุข

“จากเด็กฐานะยากจน ไม่มีรองเท้าใส่ เสื้อผ้ามีเพียง 2 ชุด เมื่อนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ทำให้ครอบครัวมีฐานะดีขึ้น จากบ้านที่มุงด้วยหญ้าคา เปลี่ยนเป็นมุงด้วยกระเบื้อง มีเงินที่ขายผลิตผลได้มากถึงเดือนละ 3 หมื่นบาท ทำให้ผมอยู่ดีมีสุข”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะสวรรคตไปแล้ว แต่นายสุดี และชาวบ้านแม่เตียนต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่พระราชทานความรู้ในการดำรงชีพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จนทำให้ชาวบ้านมีฐานะดีขึ้น ทุกคนต่างตั้งมั่นว่า “จะทำความดีเพื่อพระองค์ และจะเป็นคนดีของประเทศชาติตลอดไป”










กำลังโหลดความคิดเห็น