xs
xsm
sm
md
lg

เทศบาลฯ ปิดคำสั่ง “วัดอู่ทรายคำ” ให้แก้แบบสร้างตึกค้ำหอไตร-พ้น 30 วันจ่อรื้อถอน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เทศบาลนครเชียงใหม่ปิดคำสั่ง “วัดอู่ทรายคำ” ให้แก้ไขแบบและยื่นขออนุญาตก่อสร้างใหม่อาคาร 4 ชั้นที่เกิดกรณีปัญหาสร้างชิดและสูงค้ำหอไตรไม้เก่าแก่อายุกว่าร้อยปี แถมผิดข้อกฎหมาย ขีดเส้นภายใน 30 วัน หากพ้นกำหนดเตรียมสั่งรื้อถอนเกลี้ยง ด้านเครือข่ายชุมชน 16 เผยกรณียื่นหนังสือผ่านศูนย์ดำรงธรรมให้ตรวจสอบวัดดังกล่าวนานร่วมเดือนแล้วแต่แทบไร้ความคืบหน้า เตรียมเข้าติดตามทวงถาม

ความคืบหน้ากรณีวัดอู่ทรายคำ ตำบลช้างม่อย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์และตั้งประเด็นความเหมาะสมกำลังทำการก่อสร้างอาคาร 4 ชั้น ตั้งประชิดและสูงกว่าหอไตรที่สร้างจากไม้เกือบทั้งหลังอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี

จากการตรวจสอบพบด้วยว่าการก่อสร้างดังกล่าวได้ยื่นขออนุญาตก่อสร้างต่อทางเทศบาลนครเชียงใหม่แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอนุญาต ทว่าได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วจนมีประชาชนร้องเรียนและถูกสั่งระงับก่อสร้างเมื่อปลายเดือน ส.ค. 59 ที่ผ่านมานั้น

นายวราวุฒิ โตคณิตชาติ ผู้อำนวยการส่วนควบคุมอาคารและผังเมือง เทศบาลนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 59 ที่ผ่านมา ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ได้ให้เจ้าหน้าที่นำคำสั่งให้ดำเนินการแก้ไขและให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารตามมาตรา 43 วรรคหนึ่ง (กรณีที่กระทำโดยไม่ได้รับอนุญาต) ไปปิดไว้ที่อาคารที่กำลังก่อสร้างของวัดอู่ทรายคำแล้ว

พร้อมทั้งทำหนังสือแจ้งเป็นทางการถึงเจ้าอาวาสวัดอู่ทรายคำด้วย โดยตามคำสั่งดังกล่าวนี้ให้ทางวัดอู่ทรายคำดำเนินการแก้ไขแบบอาคารให้ด้านทิศเหนือและด้านทิศตะวันออกของอาคารมีระยะห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะไม่น้อยกว่า 6 เมตรตามที่กฎหมายกำหนด และให้ยื่นขอรับใบอนุญาตก่อสร้างภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ปิดประกาศดังกล่าวนี้

ทั้งนี้ หากพ้นกำหนดระยะเวลาจะมีการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ซึ่งก็คือการออกคำสั่งตามกฎหมายให้ดำเนินการรื้อถอนอาคาร

ผู้อำนวยการส่วนควบคุมอาคารและผังเมือง เทศบาลนครเชียงใหม่ บอกด้วยว่า ก่อนหน้านี้ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ได้มีคำสั่งระงับการก่อสร้างไปแล้วเมื่อช่วงปลายเดือน ส.ค. 59 ที่ผ่านมา หลังจากที่มีประชาชนร้องเรียนเข้ามา และตรวจสอบพบว่าทางวัดได้ยื่นขออนุญาตก่อสร้างแล้วแต่ยังไม่ได้รับการอนุญาต โดยให้โอกาสทางวัดทำการปรับแบบและยื่นขออนุญาตก่อสร้างใหม่อีกครั้งภายใน 30 วันด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทางวัดจะยุติการก่อสร้าง แต่ก็ไม่มีการปรับแบบและยื่นขออนุญาตก่อสร้างใหม่ ทำให้ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ต้องมีการออกคำสั่งในครั้งนี้ และยืนยันว่าจะมีการทำหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

สำหรับกรณีที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยด้วยว่าทางวัดอู่ทรายคำมีการใช้อาคารสูง 3 ชั้นที่มีอยู่เดิมของวัดเปิดให้บริการห้องพักหรือไม่ หลังจากที่มีผู้โพสต์ภาพในโซเชียลมีเดียเป็นภาพห้องพักที่ดูคล้ายห้องพักโรงแรม ทั้งจากการจัดวางเตียงที่นอน และสิ่งอำนวยความสะดวกภายใน รวมทั้งยังได้มีการโพสต์ภาพที่ดูคล้ายระเบียบเกี่ยวกับการใช้ห้องพักด้วยนั้น

นายวราวุฒิกล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบตามข้อมูลจากสื่อที่มีการนำเสนอ ซึ่งจะต้องดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดต่อไปว่า อาคารดังกล่าวแจ้งขอใช้ประโยชน์ใดและใช้ประโยชน์ตามที่แจ้งไว้หรือไม่ โดยหากมีการใช้ประโยชน์ในลักษณะของห้องพักโรงแรม ทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาตก็จะมีการสั่งระงับการใช้อาคารและดำเนินการตามกฎหมาย

ขณะที่ตัวแทนเครือข่ายชุมชนชาวเชียงใหม่ 16 เครือข่าย เปิดเผยว่า ตามที่เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 59 เครือข่ายชุมชนชาวเชียงใหม่ 16 เครือข่ายได้เข้ายื่นหนังสือผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่, ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่, ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 8 และนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่

ทั้งนี้ เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีวัดอู่ทรายคำ ทั้งกรณีก่อสร้างอาคารสูงติดกับหอไตรไม้เก่าอายุกว่าร้อยปี กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลและภาพในโซเชียลมีเดียระบุว่า วัดมีการเปิดให้บริการห้องพักลักษณะคล้ายโรงแรมนั้น ล่าสุดมีความคืบหน้าเพียงในส่วนการทำงานของเทศบาลนครเชียงใหม่ที่เข้าไปตรวจสอบเกี่ยวกับการก่อสร้างให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และการทำงานของสำนักศิลปากรที่ 8 ที่เข้าไปสำรวจเก็บข้อมูลหอไตรไม้เก่าแก่อายุกว่าร้อยปีในวัดอู่ทรายคำ เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับประกอบการพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเท่านั้น

ส่วนการดำเนินอื่นๆ ยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนใดๆ ซึ่งเตรียมที่จะเข้าติดตามทวงถามความคืบหน้ากับทางจังหวัดเชียงใหม่ในเร็วๆ นี้

โดยข้อเรียกร้องที่เครือข่ายชุมชนชาวเชียงใหม่ 16 เครือข่ายดำเนินการ ได้แก่ 1. ตรวจสอบและขึ้นทะเบียนอาคารและโบราณสถานที่มีอายุมากกว่า 100 ปี เพื่อป้องกันการรื้อถอน เปลี่ยนแปลง หรือทำลายโบราณสถานด้วยเจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์

2. ตรวจสอบและพิจารณาการขออนุญาตก่อสร้างของวัด ตามขั้นตอนอย่างเข้มข้น และถูกต้องตามเทศบัญญัติอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น

3. การจัดการเรื่องที่พักภายในวัด หากเข้าข่ายเป็นที่พักเหมือนโรงแรม ขอให้ขออนุญาตตามกฎหมายให้ถูกต้อง และต้องมีการแยกที่พักของสงฆ์ และบุคคลทั่วไปชาย-หญิงอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการเกิดภาพที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้พระพุทธศาสนาต้องมัวหมอง

และ 4. ขอให้จังหวัดแต่งตั้งคณะบุคคล ที่ประกอบไปด้วยผู้มีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม หน่วยงานทางโยธา และผู้แทนในส่วนอื่นๆ ตามความเหมาะสม เพื่อช่วยพิจารณาในการขออนุญาตรื้อถอน เปลี่ยนแปลง หรือก่อสร้างในเขตวัด และเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบในที่เห็นชัดแจ้ง



กำลังโหลดความคิดเห็น