พิษณุโลก - รองแม่ทัพภาคที่ 3 เผยดอยภาคเหนือโดนรุกจนกลายเป็นเขาหัวโล้นแล้วหลายจังหวัด เฉพาะ 5 หมู่บ้านรอยต่อเลย-พิษณุโลก ผืนป่าเสียหายไปกว่า 5 หมื่นไร่ ย้ำวันนี้ต้องเร่งดึงชาวบ้านร่วมฟื้นฟูป่า เลิกละเลงงบปลูกป่าแบบเดิมๆ ก่อนเขาหัวโล้นโผล่เพิ่ม
วันนี้ (10 พ.ค.) พล.ต.ธนา จารุวัต รองแม่ทัพภาคที่ 3 เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า พื้นที่ป่าในภาคเหนือถูกบุกรุกจนกลายเป็นเขาหัวโล้นหลายแห่ง เช่น น่าน เชียงใหม่ ส่วนพิษณุโลก ทางแม่ทัพภาคที่ 3 ได้มอบหมายให้ตน และผู้ว่าฯ ออกสำรวจสภาพป่า และหาแนวทางฟื้นฟูสภาพป่า หรือปลูกป่าครั้งละมากๆ
โดยเฉพาะ อ.ชาติตระการ ซึ่งมี “น้ำภาค” เป็นต้นน้ำแควน้อย ณ วันนี้เหือดแห้งเนื่องจากชาวบ้านไปบุกรุกผืนป่าจำนวนมาก ขณะที่บ้านเหล่ากอหก บ้านนาเจริญ บ้านนาผักก้าม นาลึก เขต ต.เหล่ากอหก อ.นาแห้ว จ.เลย หมู่บ้านเขตรอยต่อ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ก็มีชาวบ้านบุกรุกแผ้วถาง ทั้งทำกินอยู่เดิม และบุกรุกใหม่ ปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างสับปะรดกันกว่า 2 หมื่นไร่ ถือว่าเป็นพื้นที่ล่อแหลม เสี่ยงต่อการเป็นเขาหัวโล้น
ส่วน “บ้านบุ่งผำ” ถือเป็นหมู่บ้านเหนือสุดของ อ.นครไทย เดิมปลูกข้าวโพด ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นปลูกสับปะรดแล้วขยายพื้นที่ปลูกมากถึง 3 หมื่นไร่ ถือว่าอันตรายเพราะเป็นพื้นที่ต้นน้ำของเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน
พล.ต.ธนา บอกว่า แค่รอยต่อพิษณุโลก-เลย 5 หมู่บ้านนี้ก็มีป่าถูกบุกรุกไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นไร่แล้ว ดังนั้น จากนี้ไปกองทัพภาคที่ 3 จำเป็นต้องร่วมมือกับจังหวัดพิษณุโลก สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ 11 กรมอุทยานฯ และสำนักจัดการทรัพยากรที่ 4 กรมป่าไม้ วางแผนว่าจะทำอย่างไรที่จะปลูกป่าทดแทนในฤดูฝนนี้ โดยให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม เบื้องต้น กำหนดไว้ 3 แบบ คือ
1.พื้นที่ลาดชันมากๆ เป็นต้นน้ำ จะให้ทางราชการเป็นคนปลูกป่าเอง
2.พื้นที่ที่ชาวบ้านคืนผืนป่าให้รัฐมาแล้ว 3 พันไร่ ในเขต ต.เหล่ากอหก ซึ่งจะต้องดำเนินการขอคืนต่อเนื่องให้ครบ 5 พันไร่นั้น บริเวณนี้จะดำเนินโครงการ “สร้างป่าสร้างรายได้” ดึงชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วม โดยทางราชการแบ่งกล้าไม้ 50-100 ต้น ปลูกในพื้นที่ทำกินต่อ 1 ไร่ ส่วนที่เหลือชาวบ้านอยากจะปลูกพืชอะไรก็ต้องให้ชาวบ้านปลูกพืชทำกินสร้างรายได้ แต่จะต้องช่วยปลูกป่าด้วย ซึ่งกรณีนี้จะไม่ใช้งบประมาณใดๆ
3.กรณีให้ชาวบ้านทำกิน ปลูกสับปะรดในปีที่ 1 และ 2 จะต้องให้ปลูกป่าระยะ 2 คูณ 8 เมตร ไร่ละ 100 ต้น ถ้าถึงปีที่ 3 รัฐจะขอคืนพื้นที่ แต่ในระหว่าง 1-2 ปีจะส่งเสริมให้ชาวบ้านประกอบอาชีพอื่น และหาพื้นที่เกษตรแปลงรวมให้ชาวบ้านทำกิน โดยตั้งเป้าในปี 59 จำนวน 1 หมื่นไร่
“ตอนนี้สำนักอนุรักษ์ฯ 11 มีกล้าไม้ จำนวน 5 ล้านกล้า แบ่งมอบให้จังหวัดพิษณุโลก ปลูก 1 ล้านกล้า ซึ่งกองทัพภาคที่ 3 จะเร่งดำเนินการในฤดูฝนนี้ เนื่องจากชาวบ้านไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ยังสามารถทำสับปะรดใน 1-2 ปีแรก”
พล.ต.ธนา บอกว่า จริงๆ แล้วพื้นที่ที่ชาวบ้านทำกินคือ บริเวณพื้นที่บุกรุก ซึ่งผิดกฎหมาย ปกติทางราชการจะต้องจับ แต่อนุโลมให้ชาวบ้านทำกินได้ ไม่มีการจับกุม เพียงแต่จะต้องปลูกป่าทดแทนในปีที่ 1-2 จนกว่าต้นไม้จะโต พร้อมกับสำรวจสิทธิถือครองว่าใครทำกินมาก่อน หรือหลังปี 41 โดยใช้ภาพถ่ายปี 45 เปรียบเทียบ
“ถ้าชาวบ้านไม่มีส่วนร่วมรับรองว่าไม่สำเร็จแน่ ลำพังการปลูกป่าระบบเดิมๆ ต้องเสียงบประมาณสูงมาก ฉะนั้น การปลูกป่าเป็นหมื่นๆ ไร่ ชาวบ้านต้องมีส่วนร่วมดูแลรับผิดชอบ เพราะเขาทำกินอยู่ตรงบริเวณนั้น”
ส่วนพื้นที่ใดที่ชาวบ้านไม่ทำกินแล้วจะต้องคืนให้รัฐ ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 3 จะให้ชาวบ้านปลูกป่าแบบผสมผสาน มีทั้งป่าไม้ธรรมชาติ กับป่าเศรษฐกิจ ออกดอก ออกผล เช่น มะม่วง แต่ในช่วงปีแรกๆ ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่อาจจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารแก่ชาวบ้าน แต่ไม่ใช่ค่าจ้างตอบแทน เนื่องจากชาวบ้านมีรายได้จากผลผลิต เช่น ผลมะม่วง หรือผลประโยชน์อื่นๆ จากป่า ซึ่งจะช่วยดูแลผืนป่า หรือรักษาต้นไม้ที่ปลูกไว้ไม่ให้เกิดไฟป่าเข้าลุกลามอีกด้วย
“เราวางเป้าหมายปี 59 จะเริ่มใน 5 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านในเขตรอยต่อ อ.นาแห้ว จ.เลย กับ อ.ชาติตระการ จำนวน 4 หมู่บ้าน และบ้านบุ่งผำ อ.นครไทย เพราะหากกองทัพภาคที่ 3 ไม่เร่งดำเนินการจะทำให้พื้นที่ข้างต้นเป็นเขาหัวโล้นทันที ฉะนั้น จะต้องเริ่มให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมการปลูกป่า หากดำเนินการได้ผลดีในปีนี้ ปี 60 ค่อยขยายให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม หรือรับบริจาคตามรูปแบบต่างๆ ต่อไป”