นราธิวาส -ไฟไหม้ป่าพรุที่อำเภอยี่งอ เสียหายกว่า 200 ไร่ เจ้าหน้าที่เร่งสกัดไฟเพื่อไม่ให้ลามเป็นวงกว้าง คาดต้องใช้เวลาอีกหลายวันในการดับไฟ ด้านอธิบดีกรมอุทยานฯ ลงพื้นที่ประชุมหามาตรการดับไฟไหม้ป่า
วันนี้ (9 พ.ค.) นายวรเชษฐ พรมโอภาษ ปลัดจังหวัดนราธิวาส ได้นำกำลังระดมเจ้าหน้าดับเพลิงจากบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาส อ.ยี่งอ อบต.ลูโบะบือซา และ อบต.ตะปอเยาะ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ร่วมทั้งเจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักดินแดน และชาวบ้านอำเภอยี่งอกว่า 20 คน ช่วยกันต่อสายยางที่รถดับเพลิงเพื่อฉีดน้ำที่ไฟไหม้ป่าพรุในพื้นที่อำเภอยี่งอ จำนวน 2 ตำบล คือ ต.ตะปอเยาะ อ.ยี่งอ และ ต.ลูโบะบือซา อ.บาเจาะ 2 หมู่บ้าน คือ บ้านกาแร และบ้านตะโละมียอ อ.ยี่งอ ซึ่งไฟไหม้เสียหายไปแล้ว จำนวน 200 ไร่ โดยส่วนมากเป็นสวนปาล์มของชาวบ้าน และป่าเสม็ด
นายวรเชษฐ กล่าวว่า ไฟไหม้ป่าที่อำเภอยี่งอ 4 วันที่ผ่านมา พื้นที่เสียหายส่วนมากเป็นป่าเสม็ด สวนปาล์ม และสวนยางพาราบางส่วนของประชาชนบ้านกาแร และบ้านตะโละมียอ และไฟยังไหม้ป่านิคมสหกรณ์บาเจาะ ประมาณ 20% ซึ่งพื้นที่เสียหายรวมกว่า 200 ไร่ ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่อำเภอ อบต. ทหาร และประชาชนร่วมกันดับไฟไม่ลุกลามขยายวงกว้างไปยังพื้นที่เกษตรของประชาชน และสามารถควบคุมไฟได้ระดับในระดับหนึ่ง เนื่องจากมีข้อจำกัดของแหล่งน้ำในการใช้ดับเพลิง และเครื่องมือประสิทธิภาพมีข้อจำกัด ต้องใช้เจ้าหน้าที่ อส. และชาวบ้านมาดับแต่ต้องใช้เวลาอีกหลายวัน
ขณะเดียวกัน นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยม และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดับไฟไหม้ป่า พร้อมร่วมประชุมหามาตรการและรับทราบอุปสรรคในการดับไฟป่า โดยมี นายธนิตย์ หนูยิ้ม ผอ.สำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ นายมาเณศ บุณยานันท์ ผอ.ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร นายสุพจน์ เพลิดพริ้ง ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 จ.สงขลา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
จากการประชุมได้ข้อสรุปว่า จากสถานการณ์ไฟไหม้ป่าในพื้นที่ทำกินของราษฎร และได้ลุกลามเข้าพื้นที่ป่าสงวนลุ่มน้ำบางนราแปลงที่ 2 ก่อนที่จะลามเข้าพื้นที่ป่าพรุโต๊ะแดง ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.2559 ถึงปัจจุบัน ยังคงมีไฟไหม้ป่าหลงเหลืออีก 5 จุด โดยแยกเป็นพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก 2 จุด คือ บ้านบาโงซรายอ ม.1 บ้านลูโบ๊ะซามา ม.8 ต.ปาเสมัส โดยทั้ง 2 จุด มีต้นเพลิงที่มีแนวโน้มจะลุกลามขึ้นมาอีกครั้งจากผลพวงของกระแสลมที่แปรปรวน
โดยเจ้าหน้าที่เร่งแก้ไขปัญหาด้วยการนำรถแบ็กโฮเข้าทำการปรับพื้นที่ให้เตียนราบในระยะทางยาวประมาณ 1 กม. เพื่อให้ไปชนกับแนวกันไฟเดิม พร้อมทั้งขุดเจาะแหล่งน้ำในทุกระยะ 20 เมตร เพื่อสร้างเป็นแหล่งน้ำถาวรที่จะให้ชุดเสือไฟสามารถนำเครื่องสูบน้ำขนาดเล็กเข้าทำการดับไฟได้โดยสะดวก
ในส่วนของพื้นที่ อ.สุไหงปาดี นั้น มีไฟไหม้ป่าหลงเหลืออีก 3 จุด คือ บ้านใหม่ ม.3 บ้านละหาน ม.4 และบ้านคลองช้าง ม.7 ต.ปะลุรู ซึ่งทั้ง 3 จุด มีผลพวงมาจากต้นเพลิงชั้นใต้ดินได้คุกรุ่นลุกลามข้ามแนวกันไฟจากกระแสลมแรงที่แปรปรวน รวมทั้งไฟชั้นใต้ดินในแต่ละคืนที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ เนื่องจากภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยนั้นได้ลุกลามขยายวงกว้างในแต่ละคืนประมาณ 60-70 เมตร จึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การดับไฟไหม้ป่าใน 3 จุดนี้ ส่วนการดำเนินการทำฝนหลวงของศูนย์ฝนหลวงภาคใต้ ที่ทำให้ฝนตกลงมาไม่ตกจุดไฟไหม้ป่า อันเป็นผลพวงมาจากกระแสลมที่พัดก้อนเมฆเปลี่ยนทิศทาง
ต่อมา หลังจากอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าละพันธุ์พืช ได้ประชุมติดตามรับทราบปัญหาข้อขัดข้อง และการวางมาตรการในการดับไฟไหม้ป่าแล้วเสร็จ ได้มอบสิ่งของเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ก่อนที่จะเดินทางไปติดตามความคืบหน้าในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ชุดต่างๆ ที่บริเวณหน้างานบ้านลูโบ๊ะซามา ม.8 ต.ปาเสมัส ทั้งการใช้รถแบ็กโฮปรับพื้นที่ และขุดเจาะหาแหล่งน้ำ รวมทั้งการใช้เฮลิคอปเตอร์ในการตักน้ำเพื่อนำไปโปรยยังต้นเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่ในป่า