นราธิวาส - ไฟไหม้ป่าพรุในพื้นที่ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ยังโหมลุกไหม้ต่อเนื่อง พบเสียหายกว่า 350 ไร่ เจ้าหน้าที่ยังเร่งฉีดน้ำระยะไกลทำแนวสกัดกั้นเปลวไฟไม่ให้ลามเข้าสวนยางพารา และสวนปาล์มของราษฎร
วันนี้ (10 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ไฟไหม้ป่าพรุที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของ ต.ตะปอเยาะ บ้านตะโละมียอ และ ต.ลูโบ๊ะบือชา บ้านกาแร ซึ่งทั้ง 2 ตำบลอยู่ในพื้นที่ของ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ในวันนี้ยังคงมีไฟลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่ยังคงเร่งดำเนินการดับไฟไหม้ป่าพรุที่เกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามไปในพื้นที่สวนยางพารา และสวนปาล์มของชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าว ด้วยการทำแนวกั้นไฟ แต่ด้วยกระแสลมที่เกิดขึ้นทำให้เปลวไฟลอยในอากาศ และยังคงไปติดในพื้นที่แห้งแล้งอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมได้ยากยิ่งขึ้น
ขณะที่การทำงานของเจ้าหน้าที่ นอกจากจะมีเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมไฟไหม้ป่าของสำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาสแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ชุดอาสารักษาดินแดนอำเภอยี่งอ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ เข้ามาดำเนินการดับไฟไหม้ป่าในครั้งนี้ด้วย รวมแล้วกว่า 200 คน ใช้รถดับเพลิง จำนวน 10 คัน และมีการติดตั้งรถดับเพลิงแบบฉีดน้ำระยะไกลเข้าไปช่วยเสริมด้วย
สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าพรุเขต อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ในครั้งนี้นั้น มีความเสียหายแล้วกว่า 350 ไร่ มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์หมอกควันที่เกิดขึ้น จำนวน 32 ครอบครัว รวม 130 คน ส่วนใหญ่มีอาการไอ จาม หายใจติดขัดเนื่องจากควันที่เกิดขึ้น
ด้าน นายสิทธิชัย ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เปิดเผยถึงสถานการณ์ไฟไหม้ป่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก นั้น จำนวน 2 จุด พื้นที่ป่าได้รับความเสียหายประมาณ 850 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าเสม็ด และพื้นที่สวนยางพาราของราษฎร ในส่วนของพื้นที่ป่าพรุสิรินธร (พรุโต๊ะแดง) ได้รับความเสียหายประมาณ 200 ไร่ ซึ่งในขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้แล้ว แต่ยังคงต้องระดมฉีดน้ำสกัดกั้นอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามขยายวงกว้างออกไปอีก
ขณะที่มีการระดมสรรพกำลังจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งรถดับเพลิง และรถบรรทุกน้ำฉีดน้ำเพื่อดับไฟพร้อมด้วยเครื่องสูบน้ำ และเครื่องมืออื่นๆ เพื่อทำแนวกั้นไฟ ทั้งนี้ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา ได้สนับสนุนรถส่งน้ำระยะไกล และรถดับไฟป่าในการควบคุม และดับไฟป่าทุกจุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้ขยายวงกว้างออกไป
ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานฝนหลวงได้ดำเนินการจัดทำฝนเทียมตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค.2559 เป็นต้นมา เพื่อเพิ่มความชื้นในชั้นดิน เพิ่มความสามารถในการดับไฟป่าที่เกิดขึ้นได้ในเบื้องต้น ส่วนสถานการณ์ไฟไหม้ป่าในพื้นที่ อ.สุไหงปาดี จำนวน 3 จุดได้รับความเสียหายบริเวณพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติบางนรา ป่าเสม็ด และพื้นที่การเกษตรของราษฎรเสียหายรวม 800 ไร่
ขณะนี้ได้จัดชุดเฝ้าระวังอย่างเข้มแข็ง และทำการขุดพื้นที่แบบขนมครก เพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำในการดับไฟป่าหากมีการเกิดซ้ำขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สมาชิกอาสารักษาดินแดน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จัดชุดเวรยามเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมดับไฟหากมีไฟลุกลาม
ด้าน นพ.สมหมาย บุญเกลี้ยง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า จากปัญหาไฟไหม้ป่าพรุในพื้นที่ จ.นราธิวาส มีปริมาณหมอกควันประมาณ 28 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จึงไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ดูแลสุขภาพประชาชน โดยการให้ความรู้ และแจกจ่ายหน้ากากอนามัย ซึ่งได้เตรียมไว้ จำนวน 100,000 ชิ้น เน้นย้ำให้ประชาชนสวมใส่เมื่อต้องเข้าใกล้บริเวณดังกล่าว
ซึ่งจากการประเมินด้านสุขภาพโดยรวมของประชาชน ขณะนี้ไม่พบผู้ป่วยจากสถานการณ์หมอกควันโดยตรง สำหรับเด็ก คนชรา ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หอบ หืด โรคหลอดลมอักเสบ โรคปอด และโรคหัวใจจะต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ หากมีอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อทำการรักษาต่อไป