นราธิวาส - เจ้าหน้าที่ระดมเฮลิคอปเตอร์จากศูนย์การบินทหารบกเพิ่มอีก 1 ลำ มาร่วมสนับสนุนในการตักน้ำดับไฟไหม้ป่า อ.สุไหงปาดี คาดควบคุมไฟไหม้ได้ในเร็วๆ นี้
วันนี้ (8 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีไฟไหม้พื้นที่ทำกินของชาวบ้านปอเนาะ ม.7 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส แล้วได้ลุกลามเข้าพื้นที่ป่าลุ่มน้ำบางนราแปลงที่ 2 รวมทั้งบ้านบาโงซรายอ ม.1 บ้านลูโบ๊ะซามา ม.8 ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก ในช่วงตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.59 ที่ผ่านมา รวมเวลาเกือบ 1 สัปดาห์นั้น
พล.ต.เอกรัตน์ ช้างแก้ว ผบ.ฉก.นราธิวาส นายมาเณศ บุณยานันท์ ผอ.ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิริธร นายณรงค์พล หมึกทอง ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 สาขาปัตตานี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมปรึกษาหารือวางมาตรการในการดับไฟไหม้ป่าที่หลงเหลืออยู่ 3 จุด คือ ในพื้นที่บ้านละหาน ม.4 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี บ้านบาโงซรายอ ม.1 และบ้านลูโบ๊ะซามา ม.8 ต.ปาเสมัส
ซึ่งในที่ประชุมสรุปภาพรวมปัจจัยหลักที่เป็นอุปสรรคในการดับไฟไหม้ป่าในครั้งนี้ คือ 1.กระแสลมที่พัดแรง และเปลี่ยนทิศทาง 2.หัวไฟที่คุกรุ่นอยู่ชั้นใต้ดินที่ไม่สามารถสกัดกั้นให้ดับได้ในทันทีทันใด และจากการประเมิน และวิเคราะห์หัวไฟที่เราไม่สามารถมองเห็น พบว่า ในแต่ละคืนที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ ไฟชั้นใต้ดินได้ลุกลาม 1 คืน โดยเฉลี่ยประมาณ 60 ถึง 70 เมตร
ดังนั้น เพื่อเป็นการดับไฟไหม้ป่าให้เบาบางลง และสามารถควบคุมให้อยู่ในวงจำกัด จึงได้มีการขอสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์จากศูนย์การบินทหารบกอีก จำนวน 1 ลำ มาร่วมสนับสนุนในการตักน้ำดับไฟไหม้ป่ากับเฮลิคอปเตอร์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคาดว่า การควบคุมไฟไหม้ป่าในครั้งนี้เจ้าหน้าที่จะสามารถควบคุมหัวไฟซึ่งเป็นจุดใหญ่ให้กลายสภาพเป็นจุดเล็กๆ และมอดลงได้ในที่สุด ซึ่งต้องใช้เวลาการทำงานอีกสักระยะ ควบคู่กับการทำฝนหลวงที่สามารถช่วยให้ไฟไหม้ป่าได้เบาบางลงเช่นกัน