อุดรธานี - คณะศิษยานุศิษย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เตรียมยืนหนังสือ “นายกฯ ตู่” แฉละเอียดยิบผู้ว่าฯ อุดรธานีใช้อารมณ์ และอคติเป็นที่ตั้ง ไม่สนใจรับฟัง และไม่ใส่ใจใน “ปฏิปทา” องค์หลวงตา ส่อจะฝ่าฝืนมติสงฆ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 เม.ย.) ศ. ดร.รัตนา ศิริพานิช ในนามคณะศิษยานุศิษย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ออกหนังสือด่วนที่สุด เลขที่ 017/2559 เขียนที่ วัดป่าบ้านตาด อ.เมืองอุดรธานี ถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และประธาน คสช. เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ใช้อารมณ์ และอคติเป็นที่ตั้ง ไม่สนใจรับฟัง และไม่ใส่ใจใน “ปฏิปทา” และ “เจตนารมณ์” องค์หลวงตา ส่อจะฝ่าฝืนมติสงฆ์ที่ถือธรรมเป็นที่ตั้ง และนำสิ่งอันเป็นมลทินขึ้นทูลเกล้า
โดยหนังสือใจความระบุว่า ตามที่วัดป่าบ้านตาด ได้มีหนังสือทูลถวายแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ลงวันที่ 10 เมษายน 2559 มีสาระสำคัญเป็นการถวายรายงานเพื่อทรงมีพระวินิจฉัย กรณีที่ ณ บัดนี้ สงฆ์กรรมฐานมีมติเป็นเอกฉันท์ยืนยันการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ฯ ณ วัดป่าบ้านตาด เรียบร้อยแล้ว โดยยึดถือหลักเกณฑ์ตามปฏิปทา และเจตนารมณ์องค์หลวงตาฯ ที่ได้สั่งการไว้แก่ องค์หลวงปู่ลี กุสลธโร
ต่อมา เมื่อวันที่ 11 เม.ย.59 มีการประชุมส่วนราชการในจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้อง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ฯ ในลำดับขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ ในวันดังกล่าว ข้าพเจ้าในฐานะคณะศิษย์องค์หลวงตาฯ ก็มีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมด้วย จึงทำให้เห็นถึงความอยุติธรรม และอันธพาลของผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีต่อพระสงฆ์ ผู้ซึ่งเข้าประชุมในฐานะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการของคณะสงฆ์ในโครงการดังกล่าว ซึ่งมีสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม เป็นประธาน และเป็นผู้ลงนามแต่งตั้ง
ในการประชุมครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดได้แสดงอารมณ์แบบคนไม่รู้กาลเทศะ ที่แม้แต่ตาสีตาสาที่เคารพศาสนาเขาก็ยังไม่ประพฤติตนแบบนั้น จึงไม่ต้องกล่าวว่า คุณสมบัติแห่งความเป็นนักปกครองระดับสูงจะมีความบกพร่องอย่างเลวร้ายเพียงใด
นอกจากจะใช้วิธีการบีบคั้นพระมหาเถระเพื่อหวังให้ท่านพลาดท่าเสียทีก้าวย่างไปตามแนวทางที่ตนคาดหวังแล้ว ยังมีเจตนาอย่างชัดแจ้งแทบจะทุกขณะที่จะปิดกั้นพระสงฆ์มิให้มีโอกาสได้ชี้แจงความจริงถึง “ปฏิปทา” และ “เจตนารมณ์” ขององค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งจะทำให้ที่ประชุมเกิดความชัดแจ้งว่า ลักษณะของสิ่งปลูกสร้างที่สมควรแก่วัดป่าบ้านตาดซึ่งเป็นวัดกรรมฐานนั้นเป็นเช่นไร มิหนำซ้ำ ยังปิดกั้นมิให้มีโอกาสได้ชี้แจง “คำสั่งเสียเป็นการภายใน” ขององค์หลวงตาฯ ที่ฝากไว้แก่องค์หลวงปู่ลี กุสลธโร อีกด้วย
ด้วยพฤติการณ์อันเลวร้ายเหล่านี้ ผู้เป็นธรรมทั้งหลายจึงเห็นตรงกันว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดได้กระทำตนเยี่ยงอันธพาล ไม่มีคุณลักษณะของความเป็นผู้ดีแต่อย่างใด ปิดกั้นความจริง ไม่มีเหตุผล แล้วยังใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ซึ่งการปิดกั้นพระสงฆ์ถือเป็นการสร้างกรรมชั่วที่หนักมากแล้ว การปิดกั้นมิให้ที่ประชุมมีโอกาสได้รับฟังอรรถธรรม คำสอนตลอดถึง “ปฏิปทา” และ “เจตนารมณ์” ขององค์หลวงตาผู้ถือเป็นเจ้าของโครงการที่แท้จริงในครั้งนี้อย่างพาลชน
ยิ่งถือเป็นการกระทำที่ชั่วช้าหนักยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้น ยังปิดกั้นการชี้แจงความจริงเกี่ยวกับ “ธรรมเนียมปฏิบัติ” ระหว่างทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงฯ กับวัดป่าบ้านตาด
ที่ประชุมจึงไม่มีโอกาสได้ทราบความจริงที่ทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงฯ ทรงมีความเคารพบูชาต่อองค์หลวงตาฯ และสงฆ์ ทรงยึดถือปฏิบัติตามมติคณะสงฆ์ ในวันนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ใช้วาทะเข้าแทรกแซงการชี้แจงในเรื่องดังกล่าวถึงกับทำให้ต้องสะดุดยุติลงอย่างสมเพช และน่ากังขาอย่างยิ่ง เท่ากับเป็นการปิดกั้นอย่างไร้เหตุไร้ผล ถือเป็นการแสดงการไม่ยอมรับได้แม้แต่ “ธรรมเนียมปฏิบัติ” อันงดงามที่วัดป่าบ้านตาด กับทางสถาบันได้ถือปฏิบัติต่อกันตลอดมา
และยังถือเป็นพระราชประสงค์โดยตรงของทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ อีกด้วย ด้วยเหตุเหล่านี้เอง วิญญูชนผู้เคารพธรรม และจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างแท้จริง ย่อมสามารถพิจารณาได้ในทันทีว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี คนปัจจุบันหาได้มีความเคารพยำเกรงต่อสถาบันจากใจจริงไม่ จึงกล้าใช้วิสัยแห่งอันธพาลชนเข้าสอดแทรก ปิดกั้น และข้ามเกินใน “ธรรมเนียมปฏิบัติ” อันทรงค่าระหว่างสถาบัน และพระสงฆ์ได้ถึงเพียงนี้
ข้าพเจ้าได้หารือต่อคณะศิษย์ผู้มีคุณธรรม มีวุฒิภาวะ และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างแท้จริง ต่างก็เห็นตรงกันว่า หากยังปล่อยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้ทิฏฐิมานะ และวิสัยแห่งอันธพาลประจำตนอยู่เช่นนี้ได้แม้ในโครงการฯ ที่ทรงคุณค่าอย่างมหาศาล เปรียบได้ดั่งสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงลึกซึ้งระหว่างสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพื่อหวังประสับประสานความสามัคคีหล่อหลอมทุกหมู่เหล่าทุกดวงใจเข้าเป็น “น้ำหนึ่งใจเดียวกัน” ภายใต้โครงการมหามงคลดังกล่าวนี้
หากผู้ว่าราชการจังหวัดยังจะเอาแต่กิเลสในใจตนเป็นที่ตั้ง และพอใจจะใช้นิสัยส่วนตัวเช่นนี้อยู่ต่อไป ย่อมจะกลายเป็นผู้ทำร้าย และผู้ทำลายโครงการฯ ให้วิบัติลงด้วยน้ำมือของผู้ว่าฯ เสียเองเป็นแน่แท้ พฤติการณ์ของผู้ว่าฯ ในที่ประชุมนั้น
แม้แต่สามเณรน้อยเพิ่งจบประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เข้าร่วมประชุมด้วย ก็ยังเห็นตามความรู้สึกที่แท้จริงจากใจตนเองว่า คนที่นั่งตรงกลางบนพนักเก้าอี้ที่สูงด้านหน้านั้น (หมายถึงผู้ว่าราชการจังหวัด) คนคนนี้เป็นคนเกเรไม่มีเหตุผลเลย
ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี สำคัญตนหนักยิ่งขึ้นไปกว่านี้ และอาศัยอำนาจหน้าที่ในทางราชการซึ่งเป็นอำนาจจอมปลอมตามสมมตินิยมที่แต่งตั้งขึ้นมาเพื่อมุ่งหวังให้ทำหน้าที่ประสานสามัคคีของพระสงฆ์ และคนในจังหวัด แล้วเป็นตัวแทนกราบบังคมทูลในสิ่งที่หมดจดงดงามลงใจเป็นหนึ่งเดียวกันของมหาชนทั้งหลายขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่สถาบันก็หาไม่
กลับกลายเป็นตัวแทนแห่งการปิดกั้นพระสงฆ์ ปิดกั้น “ปฏิปทา” องค์หลวงตา และปิดกั้น “ธรรมเนียมปฏิบัติ” อันดีงามโดยใช้วิสัยแห่งอันธพาลเช่นที่กล่าวมานี้ ย่อมจะนำไปสู่ความขัดแย้ง แตกแยก และเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ในที่สุดก็ย่อมจะทำความหนักใจกระทบกระเทือนไปทั่วทุกหัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ตลอดจนฝ่ายความมั่นคง ซึ่งจักต้องเกิดขึ้นในวันหนึ่งวันใดโดยแน่แท้หากผู้บังคับบัญชาไม่ทราบ หรือหากผู้ว่าราชการจังหวัดไม่พิจารณาปรับปรุงตนเองโดยทันที
จึงมีหนังสือฉบับนี้เป็นครั้งแรกถึง ฯพณฯ เพื่อขอให้เริ่มจับตา และเฝ้าระวังการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดคนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด หากถึงคราวจำเป็นในวันหนึ่งวันใด ฯพณฯ จะได้พิจารณาสรรหาคัดเลือกบุคคลอื่นที่เคารพในสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างแท้จริง เข้ามาประจำการในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นถิ่นที่สมบูรณ์ไปด้วยสมณะชีพราหมณ์มีพระอรหันต์ขีณาสพสืบเนื่องกันมายาวนานมากที่สุดจังหวัดหนึ่ง