เมืองไทย 360 องศา
หากบอกว่าการปลุกม็อบพระสงฆ์เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่พุทธมณฑล เพื่อกดดันให้รัฐบาลเสนอชื่อแต่งตั้ง “สมเด็จช่วง” หรือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ เกือบเดินหน้าไปถึงเป้าหมายอีกขั้นหนึ่งแล้ว เพราะเมื่อพิจารณาจากทั้งจำนวนคนที่มามีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสรวมแล้วนับหมื่นคนก็ถือว่าในยุคพิเศษแบบคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สามารถก่อการชุมนุมเกิน 5 คนขึ้นไปได้ถือว่าไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็ต้องมีพลัง มีเงิน และต้องมีการวางแผนจัดตั้งมวลชนค่อนข้างดีทีเดียว
ขณะเดียวกัน หากจะพูดถึงการชุมนุมของพระสงฆ์และฆราวาสดังกล่าวก็ต้องพิจารณาถึงที่มาที่ไป รวมไปถึงการเชื่อมโยงมาถึงเป้าหมายทางการเมืองทั้งทางโลกที่เชื่อมต่อกับทางธรรม (จอมปลอม) เอาไว้แบบแยกไม่ออกกันเลยทีเดียว หรืออาจเรียกว่าเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ก็อาจพูดแบบนั้นก็ได้ เพราะสิ่งที่เห็นในตอนนี้คงไม่ใช่การมองแบบ “ทื่อๆ” ว่ากิจการของสงฆ์ถูกแทรกแซง หรือมีใครมีเจตนาทำลายศาสนาพุทธจนทำให้พระสงฆ์ต้องออกมาเรียกร้อง
หากพิจารณากันตามความเป็นจริงที่เห็นประจักษ์ ไม่ใช่มองแบบไร้เดียงสากันแบบพื้นๆ ก็สามารถเข้าใจกันได้ไม่ยาก เริ่มจากตัวละครเพียงไม่กี่ตัวก็เชื่อมโยงและเป็นคำตอบได้ชัดเจน หนึ่ง พระเมธีธรรมจารย์ หรือ “ประสาร หนองพร้าว” ตามข้อมูลระบุว่าเป็นชาวร้อยเอ็ด หากย้อนกลับไปดูเทปเก่าๆ ก็จะได้เห็นคำตอบว่าเขาก็เป็นหนึ่งใน “แกนนำคนเสื้อแดง” เพียงแต่ว่ามาในแบบ “ห่มเหลือง” เท่านั้นเอง ที่ผ่านมาก็ได้เห็นภาพถ่ายชื่นมื่นกับ ทักษิณ ชินวัตร มาแล้ว
ขณะเดียวกัน เมื่อเชื่อมโยงไปถึงวัดปากน้ำภาษีเจริญของ “สมเด็จช่วง” สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ที่ฝ่ายม็อบที่นำโดยพระเมธีฯ สนับสนุนให้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่นั้นก็อยู่ในฟากเดียวกันกับวัดธรรมกาย และที่ผ่านมาก็อุปถัมภ์ค้ำชูกันมาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ถ้าสรุปให้เห็นภาพแบบดิบๆหยาบๆ ก็ต้องบอกว่า สมเด็จช่วง-วัดพระธรรมกาย-พระเมธีฯ-ทักษิณ-แกนนำคนเสื้อแดง “มีที่มาและเส้นทางข้างหน้าเดียวกัน” ส่วนจะเกี่ยวข้องกับ “ม็อบพระ” และฆราวาสคราวนี้หรือไม่ หากใครมีสติปัญญาอยู่บ้างก็พอจะมองออกว่าอะไรเป็นอะไร
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงข้อเสนอของกลุ่ม “ม็อบพระผสมฆราวาส” ในครั้งนี้มีข้อเรียกร้อง 5 ข้อให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามนี้ 1. ห้ามหน่วยงานภาครัฐมาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ ขอให้ทำหน้าที่บำรุงพระพุทธศาสนาตามแบบอย่างบรรพบุรุษ 2. ขอให้รัฐบาลยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงาม คือการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ ทางรัฐบาลต้องปรึกษาและได้รับความเห็นชอบจาก มส. 3. ให้นายกฯ ยึดถือปฏิบัติตามมติของ มส.ที่มีการเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช 4. ให้รัฐบาลสั่งเป็นนโยบายให้หน่วยงานราชการปฏิบัติต่อพระสงฆ์โดยเคารพเอื้อเฟื้อ ไม่ดูถูกคณะสงฆ์โดยการใช้กฎหมาย และ 5. ขอให้บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ
นั่นเป็นข้อเรียกร้องกดดันให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติต้องทำตามนั่นคือ ต้องเสนอชื่อ “สมเด็จช่วง” ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาทางที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ได้ “ประชุมลับ” มีมติให้เป็นสมเด็จพระสังฆราชมาแล้วและส่งเรื่องมาถึงรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่ามีเสียงคัดค้านต่อต้าน อีกทั้งยังมีคดีข้อกล่าวหา “สมเด็จช่วง” ครอบครองรถโบราณว่าได้มาถูกตัองและเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ ที่ผ่านมาทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เข้าไปตรวจสอบแต่ยังไม่มีข้อสรุปออกมาอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเป็นเรื่องทางกฎหมายถูกผิดว่ากันไป แต่คำถามก็คือ “ความเหมาะสม” สำหรับความเป็นพระ อย่าว่าแต่เป็นรสนิยมเกี่ยวกับรถโบราณเลย แค่พระมีความเป็นสุขสบาย อยู่ในอาคารหรูหราก็ถือว่า “ไม่ใช่พระแท้” แล้ว
ดังนั้น เมื่อวกมาถึงการชุมนุมของพระสงฆ์กลุ่มนี้ที่ร่สมมือกับกลุ่มฆราวาสกลุ่มหนึ่งเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แม้ว่าที่ผ่านมาหลายฝ่ายจะกังวลว่าจะสร้างแรงสั่นสะเทือนได้ไม่น้อย โดยเฉพาะกับฝ่ายรัฐบาลและ คสช.เพราะมองในแง่จำนวนที่ระดมกันมา และเมื่อพิจารณาจากที่มาของคนพวกนี้ที่เป็นเนื้อเดียวกัน นั่นคือโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำนปช.หรือคนเสื้อแดง รวมไปถึงวัดธรรมกายมันก็มองเห็นภาพได้ไม่ยาก แต่ก็เหมือนกับว่าเป็นเหตุการณ์พลิกผัน “กลับตาลปัตร” จากพฤติกรรมของคนที่ “ห่มเหลือง” บางคนทำเสียเครดิต ที่ไปก่อเหตุรุนแรงผิดวิสัยของคนที่เรียกว่าพระ
ขณะเดียวกัน ยุคนี้เป็นยุคของโลกโซเซียลฯ มีการกระจายภาพและเสียงกันอย่างรวดเร็วแบบไฟลามทุ่ง ภาพที่ “คนห่มเหลือง” คนหนึ่งล็อกคอทหารซึ่งไม่ก็รู้ว่าใครตกหลุมใครหรือเปล่าไม่รู้ แต่ภาพที่ออกมานั้นถือว่า “ติดลบ” และอย่าได้แปลกใจที่เพียงแค่ชั่วอึดใจ “หลวงพี่สมาน” ต้องลดท่าทีลงถอยหลังกลับที่ตั้งไปก่อนแบบที่มีเสียงโห่ไล่หลัง
และอย่าได้แปลกใจที่ผลจากภาพที่ติดลบดังกล่าวทำให้ฝ่ายรัฐบาลใช้เป็นเงื่อนไขยื้อเวลาได้อีกนาน นั่นคือเมื่อได้ฟังจากคำพูดล่าสุดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกฯ ที่ย้ำว่า “ถ้ายังมีความขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ มัวทะเลาะกันอยู่ ใครก็ไม่กล้านำความขึ้นกราบบังคมทูล ทุกอย่างต้องสงบ และเมื่อสงบแล้วทุกอย่างก็จะเดินไปตามกรอบกติกา”
มันก็ชัดว่าต้องยื้อกันไปอีกยาว และความหมายก็คือ “สมเด็จช่วง” ก็ต้องคงสภาพอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น “อดไปต่อ” ค่อนข้างแน่!!