กาญจนบุรี - ผู้ประกอบการเรือแพ แนะจับมือแก้ปัญหาแบบวินวิน ชู 7 แนวทางแก้ปัญหา คัดแกะดำออกจากธุรกิจ
จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) สั่งการให้ฝ่ายปกครองเร่งแก้ปัญหาแพเธค ที่จ.กาญจนบุรี เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่าได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาเสียงดัง รวมทั้งมีการทิ้งขยะ และสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำด้วยนั้น
นายภานุวัฒน์ ศีลแดนจันทร์ ตัวแทนผู้ประกอบการ เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่ได้ทำความตกลงกันไว้ ส่วนผู้ที่ปล่อยปละละเลย ไม่ทำกฎกติกาก็ต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจน และหากผู้ประกอบการรายใดไม่สามารถทำตามกฎกติกาได้ ผู้มีอำนาจก็ควรสั่งการให้เลิกประกอบกิจการ เพื่อที่ผู้ประกอบการรายอื่นที่ทำตามกฎกติกาจะได้ไม่เดือดร้อนตามไปด้วย
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหา เช่น 1.เรือตำรวจควรออกตรวจตราตรวจสม่ำเสมอ และมีการสุ่มออกตรวจในวันธรรมดา เพื่อผู้ประกอบการจะได้ตื่นตัว แต่ทราบว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานขาดงบประมาณในส่วนนี้ คือ มีเรือ แต่ไม่มีน้ำมัน ขณะที่เรือบางลำมีสภาพเก่า ก็จะเสียค่าใช้จ่ายไปกับค่าซ่อมบำรุง เมื่อมีผู้แจ้งเหตุมาก็ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้
2.ศูนย์รับแจ้ง 24 ชม. เมื่อเกิดการละเมิดกฎก็ให้โทร.แจ้งศูนย์ ทางศูนย์ก็จะดำเนินการต่อผู้ประกอบการเจ้าของแพ พร้อมกับบันทึกความผิดไว้ และหากผู้ประกอบการรายเดิมกระทำผิดซ้ำอีกก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด ไม่ละเว้นทุกกรณี
3.ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวทราบถึงกฎกติกาก่อนลงแพ และใช้บริการ ทั้งกฎข้อบังคับ ข้อแนะนำว่าเป็นอย่างไร และควรกำหนดความผิดร่วมกับเจ้าของแพด้วย เพื่อผู้มาใช้บริการจะได้ไม่ใช้อำนาจ หรืออามิสสินจ้างเพื่อให้ได้สิทธิเหนือคนอื่น และจะทำให้ประโยคเหล่านี้หมดไป
“ทิปพันนึงน้อง ขออีกชั่วโมง รู้มั้ยพี่เป็นใคร กูเคลียร์ได้” หรือหากเกิดกรณีเช่นนี้ให้ดีเจโทร.มาแจ้งศูนย์ฯ ทางเจ้าหน้าที่ศูนย์จะได้ออกไปดำเนินการให้ เพื่อที่พนักงานแพจะได้ไม่ต้องกระทบกระทั่งต่อผู้มาใช้บริการให้เสี่ยงต่อการเจ็บตัว และก่อนลงแพให้ผู้มาใช้บริการอ่าน และลงนามในเอกสารกฎข้อบังคับในการใช้บริการด้วย ขณะที่ในแพจะต้องติดตั้งป้าย และเปิดสปอตเสียงแจ้งซ้ำๆ บ่อยๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับทราบ
4.ปกติมีเขตห้ามใช้เสียง (สีแดง) วัดเหนือ วัดใต้ ดงบัว กับเขตใช้เสียงได้ (สีเขียว) ดงบัว หนองหญ้า แต่ควรเพิ่มโซนสีเหลือง คือ ใช้เสียงเบา หรือเตรียมปิด หรืองดดิสโก้ ในเขตชุมชนที่อาจกระทบ และสร้างความเดือดร้อน เช่น ดงบัว สุสานช่องไก่ ชุมชนวัดเขาปูน เพื่อลดผลกระทบหรือสร้างความเดือดร้อน โดยแสดงสัญลักษณ์ชัดเจนทั้งกลางวัน และกลางคืน
5.ผู้ประกอบการควรใช้ดีเจประจำที่รู้ระเบียบข้อบังคับเป็นอย่างดี ให้ความร่วมมือ และเล็งเห็นความสำคัญของการแก้ปัญหา มีทักษะในการสังเกต ระวังป้องกัน แจ้งเหตุก่อนจะเกิดปัญหา
6.จดทะเบียนเรือแพให้เรียบร้อย มีป้ายชื่อ หมายเลขที่อ่านง่าย มองเห็นชัดเจนทั้งกลางวันกลางคืน เพราะหากมีแพใดกระทำผิดจะได้ระบุได้ชัดเจนว่าเป็นแพใด ผู้ใดเป็นเจ้าของ และผู้ใดเป็นดีเจ พร้อมทั้งประกาศให้รู้โดยทั่วกัน ไม่เช่นนั้นแพในแม่น้ำทั้งหมดจะถูกกล่าวหา
7.ลดลำโพง และระบบเสียงซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเสียงต้นเหตุให้มีความเหมาะสม พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนทัศนคติที่เคยคิดว่า เสียงต้องดังกระหึ่ม มาเป็นระบบเสียงดี บริการดี และมีรสนิยมแทน
อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกฝ่ายถือโอกาสนี้หันหน้าเข้าหากัน และร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเสียที เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ซึ่งจะส่งผลต่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) สั่งการให้ฝ่ายปกครองเร่งแก้ปัญหาแพเธค ที่จ.กาญจนบุรี เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่าได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาเสียงดัง รวมทั้งมีการทิ้งขยะ และสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำด้วยนั้น
นายภานุวัฒน์ ศีลแดนจันทร์ ตัวแทนผู้ประกอบการ เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่ได้ทำความตกลงกันไว้ ส่วนผู้ที่ปล่อยปละละเลย ไม่ทำกฎกติกาก็ต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจน และหากผู้ประกอบการรายใดไม่สามารถทำตามกฎกติกาได้ ผู้มีอำนาจก็ควรสั่งการให้เลิกประกอบกิจการ เพื่อที่ผู้ประกอบการรายอื่นที่ทำตามกฎกติกาจะได้ไม่เดือดร้อนตามไปด้วย
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหา เช่น 1.เรือตำรวจควรออกตรวจตราตรวจสม่ำเสมอ และมีการสุ่มออกตรวจในวันธรรมดา เพื่อผู้ประกอบการจะได้ตื่นตัว แต่ทราบว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานขาดงบประมาณในส่วนนี้ คือ มีเรือ แต่ไม่มีน้ำมัน ขณะที่เรือบางลำมีสภาพเก่า ก็จะเสียค่าใช้จ่ายไปกับค่าซ่อมบำรุง เมื่อมีผู้แจ้งเหตุมาก็ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้
2.ศูนย์รับแจ้ง 24 ชม. เมื่อเกิดการละเมิดกฎก็ให้โทร.แจ้งศูนย์ ทางศูนย์ก็จะดำเนินการต่อผู้ประกอบการเจ้าของแพ พร้อมกับบันทึกความผิดไว้ และหากผู้ประกอบการรายเดิมกระทำผิดซ้ำอีกก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด ไม่ละเว้นทุกกรณี
3.ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวทราบถึงกฎกติกาก่อนลงแพ และใช้บริการ ทั้งกฎข้อบังคับ ข้อแนะนำว่าเป็นอย่างไร และควรกำหนดความผิดร่วมกับเจ้าของแพด้วย เพื่อผู้มาใช้บริการจะได้ไม่ใช้อำนาจ หรืออามิสสินจ้างเพื่อให้ได้สิทธิเหนือคนอื่น และจะทำให้ประโยคเหล่านี้หมดไป
“ทิปพันนึงน้อง ขออีกชั่วโมง รู้มั้ยพี่เป็นใคร กูเคลียร์ได้” หรือหากเกิดกรณีเช่นนี้ให้ดีเจโทร.มาแจ้งศูนย์ฯ ทางเจ้าหน้าที่ศูนย์จะได้ออกไปดำเนินการให้ เพื่อที่พนักงานแพจะได้ไม่ต้องกระทบกระทั่งต่อผู้มาใช้บริการให้เสี่ยงต่อการเจ็บตัว และก่อนลงแพให้ผู้มาใช้บริการอ่าน และลงนามในเอกสารกฎข้อบังคับในการใช้บริการด้วย ขณะที่ในแพจะต้องติดตั้งป้าย และเปิดสปอตเสียงแจ้งซ้ำๆ บ่อยๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับทราบ
4.ปกติมีเขตห้ามใช้เสียง (สีแดง) วัดเหนือ วัดใต้ ดงบัว กับเขตใช้เสียงได้ (สีเขียว) ดงบัว หนองหญ้า แต่ควรเพิ่มโซนสีเหลือง คือ ใช้เสียงเบา หรือเตรียมปิด หรืองดดิสโก้ ในเขตชุมชนที่อาจกระทบ และสร้างความเดือดร้อน เช่น ดงบัว สุสานช่องไก่ ชุมชนวัดเขาปูน เพื่อลดผลกระทบหรือสร้างความเดือดร้อน โดยแสดงสัญลักษณ์ชัดเจนทั้งกลางวัน และกลางคืน
5.ผู้ประกอบการควรใช้ดีเจประจำที่รู้ระเบียบข้อบังคับเป็นอย่างดี ให้ความร่วมมือ และเล็งเห็นความสำคัญของการแก้ปัญหา มีทักษะในการสังเกต ระวังป้องกัน แจ้งเหตุก่อนจะเกิดปัญหา
6.จดทะเบียนเรือแพให้เรียบร้อย มีป้ายชื่อ หมายเลขที่อ่านง่าย มองเห็นชัดเจนทั้งกลางวันกลางคืน เพราะหากมีแพใดกระทำผิดจะได้ระบุได้ชัดเจนว่าเป็นแพใด ผู้ใดเป็นเจ้าของ และผู้ใดเป็นดีเจ พร้อมทั้งประกาศให้รู้โดยทั่วกัน ไม่เช่นนั้นแพในแม่น้ำทั้งหมดจะถูกกล่าวหา
7.ลดลำโพง และระบบเสียงซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเสียงต้นเหตุให้มีความเหมาะสม พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนทัศนคติที่เคยคิดว่า เสียงต้องดังกระหึ่ม มาเป็นระบบเสียงดี บริการดี และมีรสนิยมแทน
อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกฝ่ายถือโอกาสนี้หันหน้าเข้าหากัน และร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเสียที เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ซึ่งจะส่งผลต่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
