นายปิติพันธ์ เทพปฎิมากรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณีโครงการลงทุนธุรกิจปาล์มน้ำมัน ประเทศอินโดนีเซีย ว่า สืบเนื่องจากมีการตรวจสอบภายในของปตท. จนพบความผิดปกติของขั้นตอนการได้มาซึ่งหุ้นบริษัทและสิทธิสัมปทานในพื้นที่ปลูกปาล์ม โครงการของบริษัท ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (PTTGE) จึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง สอบวินัย และนำเรื่องส่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมทั้งยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายต่ออดีตผู้บริหารตามลำดับ ทั้งนี้ความคืบหน้าในการดำเนินคดีและการตรวจสอบ ปตท.ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากต้องเคารพการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรม ที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาคดีในชั้นศาลและ ป.ป.ช.
สำหรับการดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูในโครงการปลูกปาล์มทั้ง 5 โครงการ เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด คณะผู้บริหารของ PTTGE ชุดปัจจุบัน ได้เข้าไปศึกษาหาแนวทาง ลดค่าใช้จ่าย บริหารพันธะสัญญาต่างๆ และแก้ปัญหาคดีความที่เกิดขึ้นก่อนหน้า รวมไปถึงการบริหารจัดการในพื้นที่ และทรัพยากรบุคคลให้ถูกต้องตามกระบวนการและข้อกฎหมาย
นายปิติพันธ์กล่าวว่า หลังจากที่ได้ดำเนินการฟื้นฟูพบว่า โอกาสการสร้างมูลค่าเพิ่มในโครงการมีความเป็นไปได้น้อย ที่สำคัญยังจะมีมูลค่าลดลงตามระยะเวลา เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการจากสภาพแวดล้อมและศักยภาพลงทุนที่เปลี่ยนไป เช่น รัฐบาลอินโดนีเซียมีการปรับนโยบายการสนับสนุนธุรกิจปาล์มน้ำมัน รวมถึงความไม่เชี่ยวชาญในธุรกิจการเกษตร คณะกรรมการบริหารปตท.จึงมีมติให้ขายโครงการทั้งหมด
โดยได้แต่งตั้งบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญดำเนินการจัดประมูลขายตามมาตรฐานสากล ซึ่งได้ติดต่อเชิญ บริษัทต่างๆ ทั้งภายในประเทศอินโดนีเซียและต่างประเทศ เบื้องต้นมีผู้แสดงความสนใจมากกว่า 30 ราย หลังดำเนินการเจรจากับผู้สนใจมานานกว่า 1 ปี PTTGE สามารถขายได้ 3 โครงการ ส่วน 2 โครงการที่เหลือยังอยู่ใน กระบวนการเจรจากับผู้สนใจต่อไป
“ในการดำเนินการด้านกฎหมาย และการขาย โครงการตามที่กล่าวมาข้างต้น ปตท. ขอยืนยันว่า เป็นไปตามหลักการบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามหลักธรรมาภิบาล และปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2551 ที่กำหนดเกี่ยวกับการ ปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหาร จะต้องเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด” นายปิติพันธ์ กล่าว
สำหรับธุรกิจปาล์มน้ำมันของปตท. ในประเทศอินโดนีเซีย นั้น ปตท.เริ่มลงทุนโครงการปาล์มน้ำมัน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 กระทั่งปีพ.ศ.2555 พบความผิดปกติเนื่องจากการลงทุนเกิดความเสียหายขึ้น จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เมื่อพบมูลความผิดก็ทำการรวบรวมเอกสารยื่นต่อ ป.ป.ช. ให้เข้าตรวจสอบโครงการในปี พ.ศ.2556 พร้อมทั้งมีมติให้ ขายโครงการทั้งหมดในปีดังกล่าว
สำหรับการดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูในโครงการปลูกปาล์มทั้ง 5 โครงการ เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด คณะผู้บริหารของ PTTGE ชุดปัจจุบัน ได้เข้าไปศึกษาหาแนวทาง ลดค่าใช้จ่าย บริหารพันธะสัญญาต่างๆ และแก้ปัญหาคดีความที่เกิดขึ้นก่อนหน้า รวมไปถึงการบริหารจัดการในพื้นที่ และทรัพยากรบุคคลให้ถูกต้องตามกระบวนการและข้อกฎหมาย
นายปิติพันธ์กล่าวว่า หลังจากที่ได้ดำเนินการฟื้นฟูพบว่า โอกาสการสร้างมูลค่าเพิ่มในโครงการมีความเป็นไปได้น้อย ที่สำคัญยังจะมีมูลค่าลดลงตามระยะเวลา เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการจากสภาพแวดล้อมและศักยภาพลงทุนที่เปลี่ยนไป เช่น รัฐบาลอินโดนีเซียมีการปรับนโยบายการสนับสนุนธุรกิจปาล์มน้ำมัน รวมถึงความไม่เชี่ยวชาญในธุรกิจการเกษตร คณะกรรมการบริหารปตท.จึงมีมติให้ขายโครงการทั้งหมด
โดยได้แต่งตั้งบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญดำเนินการจัดประมูลขายตามมาตรฐานสากล ซึ่งได้ติดต่อเชิญ บริษัทต่างๆ ทั้งภายในประเทศอินโดนีเซียและต่างประเทศ เบื้องต้นมีผู้แสดงความสนใจมากกว่า 30 ราย หลังดำเนินการเจรจากับผู้สนใจมานานกว่า 1 ปี PTTGE สามารถขายได้ 3 โครงการ ส่วน 2 โครงการที่เหลือยังอยู่ใน กระบวนการเจรจากับผู้สนใจต่อไป
“ในการดำเนินการด้านกฎหมาย และการขาย โครงการตามที่กล่าวมาข้างต้น ปตท. ขอยืนยันว่า เป็นไปตามหลักการบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามหลักธรรมาภิบาล และปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2551 ที่กำหนดเกี่ยวกับการ ปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหาร จะต้องเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด” นายปิติพันธ์ กล่าว
สำหรับธุรกิจปาล์มน้ำมันของปตท. ในประเทศอินโดนีเซีย นั้น ปตท.เริ่มลงทุนโครงการปาล์มน้ำมัน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 กระทั่งปีพ.ศ.2555 พบความผิดปกติเนื่องจากการลงทุนเกิดความเสียหายขึ้น จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เมื่อพบมูลความผิดก็ทำการรวบรวมเอกสารยื่นต่อ ป.ป.ช. ให้เข้าตรวจสอบโครงการในปี พ.ศ.2556 พร้อมทั้งมีมติให้ ขายโครงการทั้งหมดในปีดังกล่าว