แพร่ - “หมอพลเดช” อดีต สปช.เชื่อทุนใหญ่บุหรี่บี้รัฐยุบ สสส. แถมตั้งแท่นชงนายกฯ ลงนามไว้แล้ว ส่งทหารคุมเดินตามรอย สปสช. หวั่นยุบเมื่อไหร่ทำ 9,900 กว่าโครงการที่เดินเครื่องอยู่ระส่ำแน่
นายแพทย์ พลเดช ปิ่นประทีป อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีรัฐบาลมีแผนยุบสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กับคณะกรรมการสถาบันลูกโลกสีเขียวภาคเหนือ ที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ปัจจุบันองค์กรอิสระหลายแห่งมีผลกระทบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นไทยพีบีเอส โทรทัศน์สาธารณะแห่งแรก (สสท.), สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) หรือแม้กระทั่ง สสส.ก็กำลังอยู่ระหว่างถูกตรวจสอบ
ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นกับไทยพีบีเอสนั้นคงเป็นเรื่องการบริหารภายในเอง ไม่เกี่ยวกับอำนาจภายนอก ส่วน สสส.มีศัตรูหลายด้าน โดยเฉพาะองค์กรนี้ใช้งบประมาณจากภาษีเหล้า-บุหรี่ เพื่อรณรงค์ให้คนงดดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทำให้กลุ่มทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศไม่พอใจอยู่แล้ว ยิ่งการทำงานของ สสส.เองนั้นมีหลายฝ่ายไม่มั่นใจการทำงาน สิ่งเหล่านี้ทำให้มีการตรวจสอบ สสส.อย่างเข้มข้น โดยระบบการตรวจสอบของรัฐ
แต่สาเหตุใหญ่มาจากบริษัทบุหรี่ข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบมากจากการออกมารณรงค์ลดการสูบบุหรี่ในประเทศไทย จนมีผลกระทบต่อบริษัทที่ผลิตบุหรี่ทั้งใน และต่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีส่วนในการยกร่างกฎหมายด้านสุขภาพที่เกี่ยวกับการลดอัตราการดื่มสุรา และสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะถูกยุบองค์กร ซึ่งการตัดสินใจยุบหรือไม่ผู้ที่ตัดสินใจคือ นายกรัฐมนตรี
“เชื่อว่ามีการทำหนังสือเตรียมเสนอให้นายกรัฐมนตรีลงนามให้ สสส.หยุดกิจการชั่วคราวเพื่อปรับปรุง พร้อมทั้งปลดผู้จัดการ และยุบบอร์ด สสส. ใช้ทหารเข้าบริหารแทน เช่นเดียวกับ สปสช.ที่ผ่านมา ซึ่งถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจริงผลกระทบจะตามมามากมาย 9,900 โครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจะระส่ำระสายรุนแรงแน่”
นายแพทย์ พลเดชเสนอแนะว่า ทางออกที่จะทำให้องค์กรอิสระต่างๆ เดินหน้าต่อไปก็มีอยู่ ส่วนหนึ่งองค์กรต้องทำหน้าที่ให้เกิดความโปร่งใส และทำหน้าที่ได้ตามวัตถุประสงค์ มีผลงานออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง สสส.มีการประชุมกันทุกเดือนที่สวนสามพราน จ.นครปฐม พบว่าสถานการณ์หนักมาก ล่าสุดนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้เข้ามารับตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งต้องการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
และตรงนี้เองที่ กลุ่มประชาสังคม ได้มีโอกาสเสนอแนวทางการทำงานแบบประชารัฐต่อนายสมคิด ซึ่งในหลักการเป็นที่ยอมรับ ทำให้ พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เห็นด้วยและมีการพูดถึงการทำงานแบบประชารัฐไปแล้วหลายครั้ง ซึ่งการพัฒนาดังกล่าว สสส.น่าจะมีส่วนเข้ามาทำงานยกระดับกระบวนการประชารัฐและสร้างเสริมสุขภาพไปพร้อมๆ กัน
นายแพทย์ พลเดชกล่าวว่า วิกฤตเหล่านี้น่าจะผ่านไปด้วยดี และนำไปสู่การร่วมมือกันทำงานในหลายๆ ด้าน ไม่เพียง สสส.เท่านั้น พอช.ก็เช่นกัน การทำงานร่วมมือกันระหว่างรัฐ ประชาชน และองค์กรธุรกิจ น่าจะเกิดขึ้นภายใต้คำว่า “ประชารัฐ” ในเร็วๆ นี้ ซึ่งปัจจุบันมีการส่งเม็ดเงินลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับตำบล 5 ล้านบาท กระบวนการประชารัฐต้องเข้าไปเป็นผู้ช่วยในท้องถิ่น มีกรรมการในระดับอำเภอ ทำงานร่วมกันหลายฝ่าย ช่วยมองทิศทางทั้งด้านทำมาหากิน สร้างเศรษฐกิจฐานราก และสร้างสุขภาพไปพร้อมๆ กันได้
“รัฐบาลอาจต้องใช้เงินเพิ่มอีกแค่ตำบลละ 20,000 บาทให้คนเหล่านี้ได้มีเวทีพูดคุยเป็นรายปี ซึ่งงบประมาณส่วนนี้ก็น่าจะมาจาก สสส. แล้วเปิดไฟให้สว่าง ให้ประชารัฐเข้าไปจัดการสิ่งแวดล้อม จัดการธุรกิจฐานราก นอกจากทำให้ สสส.มีการปรับตัวไปอีกรูปแบบที่จะร่วมกันฟื้นฟูชุมชนฐานราก ยังเป็นการต่ออายุ สสส.ไปพร้อมกันด้วย”
[editor]
[mobile editor]
INFOGRAPHIC รหัสภาพ
15 หลัก