ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย เชื่อแนวคิดเปลี่ยนแปลงงบภาษีบาปในรัฐธรรมนูญใหม่เป็นกลยุทธ์ของบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ เตือนถอยหลังเข้าคลอง ลั่นฝีมือ 3 คน พวกชอบอ้างบัญชานายกฯ-คนชง-คนทำยาสูบ บอกถ้า สสส.โดนจะส่งผลร้ายทางด้านสุขภาพในไทย ขอ “ประยุทธ์” อย่าสร้างความทุกข์
วันนี้ (9 ส.ค.) นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย กล่าวว่า การมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงระบบงบประมาณภาษีบาป โดยให้ความสำคัญถึงขั้นนำไปตราไว้ในรัฐธรรมนูญ ถือเป็นความผิดปกติที่สะท้อนว่ามีเบื้องหลังชัดเจน สถานการณ์เช่นนี้คือกลยุทธ์ของบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ ที่จะจัดการกับหน่วยงานที่ทำงานรณรงค์ด้านบุหรี่ ด้วยการเริ่มจากเสนอให้ยกเลิกภาษีบาป เมื่อถูกเปิดเผยความจริงว่า การยกเลิกภาษีบาปแล้วเงินทุกบาททุกสตางค์จะกลับคืนสู่บริษัทเหล้าบุหรี่ ก็พยายามให้ข้อมูลบิดเบือนว่าองค์กรเหล่านี้ตรวจสอบไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีระบบตรวจสอบเข้มข้นเช่นเดียวกับระบบราชการ โดยข้อเสนอที่จะให้หน่วยงานที่รับงบประมาณตรงจากภาษีบาป ปรับไปใช้ระบบงบประมาณปกติ คือการถอยหลังเข้าคลอง ผิดหลักการการใช้ภาษีในวัตถุประสงค์เฉพาะที่ทั่วโลกกระทำ เพราะการออกกฎหมายให้ใช้ภาษีเฉพาะในเรื่องการควบคุมยาสูบ สุรา หรือในสื่อสาธารณะ เพื่อต้องการให้ปราศจากการแทรกแซง ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ผมขอใช้ศักดิ์ศรีเป็นประกันว่า เรื่องนี้เกิดจากการล็อบบี้คน 3 คน คือ 1. คนที่ชอบแอบอ้างว่าเป็นบัญชาจากนายกฯ 2. คนที่พยายามชงเรื่องนี้ 3. คนที่ทำงานเรื่องยาสูบ ผมเชื่อว่าคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ท่านไม่รู้ว่าบริษัทบุหรี่ข้ามชาติมันเลวร้ายแค่ไหน ผมยกตัวอย่างจากข้อเท็จจริงเลยว่า บริษัทบุหรี่ข้ามชาติรายเดียวมีรายได้ถึง 80 พันล้านเหรียญต่อปี หรือเกือบ 1 ใน 5 ของรายได้ทั้งปีที่ประเทศไทยได้คือ 373.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ลองคิดดูว่าเค้าจะมีทุนมหาศาลขนาดไหนเพื่อใช้ล็อบบี้ เฉพาะตัวเลขที่ตรวจสอบได้ในยุโรปบริษัทบุหรี่ใช้เงินล็อบบี้แต่ละปีถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การล็อบบี้คือการติดสินบน แล้วในไทยตรวจสอบไม่ได้จะเป็นเงินเท่าไร” นพ.หทัยกล่าว
นพ.หทัยกล่าวอีกว่า การล็อบบี้เกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอน หากองค์กรอย่าง สสส.ถูกตัดแขนตัดขา ไทยจะได้รับผลกระทบร้ายแรงในด้านสุขภาพจากสินค้าอันตรายทั้ง 2 ชนิดนี้ ดังนี้ 1. อัตราการสูบบุหรี่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาล ส่งผลให้คนไทยจะเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรง ซึ่งมีค่ารักษาสูงมาก รัฐบาลจะต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลหมดไปค่าใช้จ่ายรักษาสุขภาพของคนไทยที่เกิดจากบุหรี่แทนที่จะได้นำเงินส่วนนี้ไปพัฒนาประเทศ และ 2. จำนวนอุบัติเหตุที่เกิดจากการดื่มสุราจะเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินสินอย่างมาหาศาล ทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบร้ายแรงเพียงพอที่ผู้มีอำนาจพิจารณาตัดสินใจเรื่องนี้จะคิดทบทวนการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่
“ผมขอความกรุณาท่านนายกฯ ช่วยพิจารณาทบทวนเรื่องการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ภาษีบาป ทุกวันศุกร์พวกเราฟังท่านนายกฯ ปราศรัยเรื่องคืนความสุขให้คนไทยและชื่นชมที่ท่านทำงานหนักเพื่อให้คนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดี มีความสุขมากขึ้น ปัญหาโหลยโท่ยหลายเรื่องที่คาราคาซังมาทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประมง เรื่องการบิน ท่านพยายามแก้ไข ผมขออย่าสร้างความสะเทือนใจ สร้างความทุกข์ให้แก่คนไทยด้วยการเปลี่ยนแปลงเรื่องภาษีบาปเลย” นพ.หทัยกล่าว
วันนี้ (9 ส.ค.) นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย กล่าวว่า การมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงระบบงบประมาณภาษีบาป โดยให้ความสำคัญถึงขั้นนำไปตราไว้ในรัฐธรรมนูญ ถือเป็นความผิดปกติที่สะท้อนว่ามีเบื้องหลังชัดเจน สถานการณ์เช่นนี้คือกลยุทธ์ของบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ ที่จะจัดการกับหน่วยงานที่ทำงานรณรงค์ด้านบุหรี่ ด้วยการเริ่มจากเสนอให้ยกเลิกภาษีบาป เมื่อถูกเปิดเผยความจริงว่า การยกเลิกภาษีบาปแล้วเงินทุกบาททุกสตางค์จะกลับคืนสู่บริษัทเหล้าบุหรี่ ก็พยายามให้ข้อมูลบิดเบือนว่าองค์กรเหล่านี้ตรวจสอบไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีระบบตรวจสอบเข้มข้นเช่นเดียวกับระบบราชการ โดยข้อเสนอที่จะให้หน่วยงานที่รับงบประมาณตรงจากภาษีบาป ปรับไปใช้ระบบงบประมาณปกติ คือการถอยหลังเข้าคลอง ผิดหลักการการใช้ภาษีในวัตถุประสงค์เฉพาะที่ทั่วโลกกระทำ เพราะการออกกฎหมายให้ใช้ภาษีเฉพาะในเรื่องการควบคุมยาสูบ สุรา หรือในสื่อสาธารณะ เพื่อต้องการให้ปราศจากการแทรกแซง ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ผมขอใช้ศักดิ์ศรีเป็นประกันว่า เรื่องนี้เกิดจากการล็อบบี้คน 3 คน คือ 1. คนที่ชอบแอบอ้างว่าเป็นบัญชาจากนายกฯ 2. คนที่พยายามชงเรื่องนี้ 3. คนที่ทำงานเรื่องยาสูบ ผมเชื่อว่าคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ท่านไม่รู้ว่าบริษัทบุหรี่ข้ามชาติมันเลวร้ายแค่ไหน ผมยกตัวอย่างจากข้อเท็จจริงเลยว่า บริษัทบุหรี่ข้ามชาติรายเดียวมีรายได้ถึง 80 พันล้านเหรียญต่อปี หรือเกือบ 1 ใน 5 ของรายได้ทั้งปีที่ประเทศไทยได้คือ 373.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ลองคิดดูว่าเค้าจะมีทุนมหาศาลขนาดไหนเพื่อใช้ล็อบบี้ เฉพาะตัวเลขที่ตรวจสอบได้ในยุโรปบริษัทบุหรี่ใช้เงินล็อบบี้แต่ละปีถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การล็อบบี้คือการติดสินบน แล้วในไทยตรวจสอบไม่ได้จะเป็นเงินเท่าไร” นพ.หทัยกล่าว
นพ.หทัยกล่าวอีกว่า การล็อบบี้เกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอน หากองค์กรอย่าง สสส.ถูกตัดแขนตัดขา ไทยจะได้รับผลกระทบร้ายแรงในด้านสุขภาพจากสินค้าอันตรายทั้ง 2 ชนิดนี้ ดังนี้ 1. อัตราการสูบบุหรี่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาล ส่งผลให้คนไทยจะเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรง ซึ่งมีค่ารักษาสูงมาก รัฐบาลจะต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลหมดไปค่าใช้จ่ายรักษาสุขภาพของคนไทยที่เกิดจากบุหรี่แทนที่จะได้นำเงินส่วนนี้ไปพัฒนาประเทศ และ 2. จำนวนอุบัติเหตุที่เกิดจากการดื่มสุราจะเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินสินอย่างมาหาศาล ทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบร้ายแรงเพียงพอที่ผู้มีอำนาจพิจารณาตัดสินใจเรื่องนี้จะคิดทบทวนการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่
“ผมขอความกรุณาท่านนายกฯ ช่วยพิจารณาทบทวนเรื่องการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ภาษีบาป ทุกวันศุกร์พวกเราฟังท่านนายกฯ ปราศรัยเรื่องคืนความสุขให้คนไทยและชื่นชมที่ท่านทำงานหนักเพื่อให้คนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดี มีความสุขมากขึ้น ปัญหาโหลยโท่ยหลายเรื่องที่คาราคาซังมาทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประมง เรื่องการบิน ท่านพยายามแก้ไข ผมขออย่าสร้างความสะเทือนใจ สร้างความทุกข์ให้แก่คนไทยด้วยการเปลี่ยนแปลงเรื่องภาษีบาปเลย” นพ.หทัยกล่าว