อุบลราชธานี - ชาวบ้านตำบลหนองกินเพล และบุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งร่วมต่อสู้เรียกร้องที่ดินของตนคืนจากนายทุนกว่า 80 ไร่ ร่วมกันทำพิธีไหว้สักการะเจ้าที่ผูกรับขวัญเสาหลักเขตที่ดินแต่ดั้งเดิม ส่วนเจ้าพนักงานที่ดินระบุว่า การวัดแนวเขตทำตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ส่วนขั้นตอนต่อไปเป็นอย่างไรต้องรอให้ศาลสั่งอีกที
วันนี้ (22 ก.ย.) ชาวบ้านในตำบลหนองกินเพลและบุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ร่วมกับนายวิทยา แก้วบัวขาว ราษฎรบ้านขัวไม้แก่น ต.หนองกินเพล ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินกว่า 80 ไร่ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ชนะคดี ที่ฟ้องร้องให้เจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี เพิกถอนการออกโฉนดของนายทุนเมื่อกว่า 40 ปีก่อน
พร้อมร่วมชี้หลักเขตที่ดินที่นายทุนนำไปออกโฉนดขายให้กับบุคคลทั่วไปรวม 36 แปลง โดยวันนี้มีเจ้าของที่ดินรายใหม่ที่ซื้อที่ดินที่ทับซ้อมมาร่วมแสดงสิทธิการซื้อที่ดินดังกล่าวมาแสดงตนเพื่อใช้เป็นหลักฐานให้เจ้าพนักงานที่ดินรวบรวมส่งให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้กรมที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาต่อไป
นายทวีศักดิ์ ลีลา นายช่างรังวัดชำนาญการสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาอำเภอวารินชำราบ กล่าวว่า หลังจากนายวิทยานำชี้แนวหลักเขตที่ดินตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2558 เมื่อนำแนวเขตมาครอบในระหว่างพบว่ามีการออกโฉนดทับซ้อนแบ่งสรรออกไปรวมทั้งสิ้น 36 แปลง
เมื่อศาลจะมีคำสั่งให้สำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ เพิกถอนโฉนดหรือจัดการอย่างไรต่อที่ดินดังกล่าว จึงแจ้งเรื่องให้เจ้าของที่ดินที่ครอบครองในภายหลังให้มาแสดงสิทธิการได้มาขอที่ดิน เพื่อรวบรวมเป็นหลักฐานให้ศาลปกครองสูงสุดใช้พิจารณาสั่งดำเนินการกับที่ดินแปลงต่างๆ ดังกล่าวต่อไป
ด้านนายนิกร วีสเพ็ญ ทนายความของชาวบ้านระบุว่า ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินตามการตรวจสอบของดีเอสไอ กรรมการสิทธิมนุษยชน ซึ่งพบว่าใบจองเลขที่ 184 ของนายโทน บิดานายวิทยาที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นใบจองที่ได้มาโดยชอบและไม่ได้ถูกยกเลิกสิทธิการครอบครอง เพราะฉะนั้นการออก น.ส.3 หรือโฉนดออกทับที่ดินแปลงนี้ภายหลัง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลจึงมีคำพิพากษาออกมาดังกล่าว
ขณะที่นายกฤษฏิพงศ์ อร่ามรุ่งทรัพย์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ กล่าวว่า เจ้าพนักงานได้เข้ารังวัดปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด โดยมีการเรียกผู้มีโฉนดที่ทับซ้อนกับที่ดินที่นายวิทยาอ้างสิทธิ เพื่อให้เจ้าของที่ดินทั้งหมดมาแสองการคัดค้าน และเจ้าพนักงานจะทำการรวบรวมเอกสารของทั้งสองฝ่าย พร้อมทำความเห็นของเจ้าพนักงานเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และอธิบดีกรมที่ดิน รวมทั้งศาลปกครองสูงสุดภายใน 90 วัน
หลังจากนั้นศาลจะมีความเห็นต่อไปอย่างไร ก็อยู่ในดุลพินิจของศาล เพราะที่ดินในบริเวณนี้มีการพิพากกันมานานหลายสิบปี และมีการซื้อขายสืบทอดติดต่อกันมาหลายมือ ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรตนไม่ทราบ แต่เชื่อว่ากระบวนการออกเอกสารของทางราชการจะต้องมีเหตุและผล แต่ทั้งนี้ก็จะให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายตามคำสั่งของศาลต่อไป
รายงานข่าวแจ้งต่อว่า สำหรับคดีการฟ้องร้องที่ดินในตำบลหนองกินเพลและบุ่งหวาย อ.วารินชำราบ เดิมมีชาวบ้านกว่า 80 ครอบครัว มีที่ดินรวมกันเกือบ 10,000 ไร่ ได้ต่อสู้ฟ้องร้องกับนายทุนมายาวนานกว่า 30 ปี แต่บางส่วนก็แพ้คดี ทำให้ต้องหาเงินไปซื้อที่ดินของตนเองคืนจากนายทุน และบางรายก็ต้องยอมออกจากที่ดินของตนไปอยู่ที่อื่นเพราะเกรงถูกจับดำเนินคดีฐานบุกรุกที่ดินตัวเอง
แต่ยังมีชาวบ้านอีก 8 ราย ซึ่งรวมถึงนายวิทยา แก้วบัวขาว มีที่ดินรวมกันกว่า 280 ไร่ ไม่ยินยอมและต่อสู้มายาวนานกว่า 30 ปี จนศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้กรมที่ดินเพิกถอนการออกโฉนดของนายทุนเพื่อออกโฉนดให้กับนายวิทยา ซึ่งมีใบจอง (น.ส.2) ได้รับที่ดินของตนกลับคืนไป
ส่วนเจ้าของที่ดินอีก 8 ราย มีที่ดินรวมกันประมาณ 200 ไร่ อยู่ระหว่างรอหนังสือตอบกลับจากอธิบดีกรมที่ดิน จะเพิกถอนโฉนดที่ออกทับที่ดินของพวกตนหรือไม่ หากกรมที่ดินไม่ยินยอมปฏิบัติตาม ก็จะได้นำเรื่องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองต่อไปด้วย