ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ศิษย์หลวงพ่อคูณ กลุ่มผู้บริหาร “วิหารเทพวิทยาคม” โต้ “บัตรเติมบุญ” แบบสมาร์ทการ์ดเป็นกุศโลบายทำบุญแนวใหม่ตามยุคสมัย อ้างเพื่อความโปร่งใสป้องกันการครหายักยอกเงินและไม่บังคับทำบุญ สามารถแลกเงินคืนได้ เผยเงินที่ได้ไม่เกี่ยวกับวัดบ้านไร่ แต่นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในวิหารสูงถึงเดือนละกว่า 1 ล้าน ชี้คนโพสต์ไม่เข้าใจสาระอันแท้จริงทำวัดบ้านไร่เสื่อมเสียได้
จากกรณีที่มีผู้โพสต์ข้อความทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก เรื่อง “บัตรเติมบุญ” ของวิหารเทพวิทยาคม วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ว่าเป็นวิธีการทำบุญที่เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งได้รับความสนใจและกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในโลกสังคมออนไลน์และสื่อแขนงต่างๆ อยู่ในขณะนี้นั้น
ล่าสุดวันนี้ (19 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี “บัตรเติมบุญ” ที่มีลักษณะเป็นบัตรสมาร์ทการ์ด ของวิหารเทพวิทยาคม ซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำใกล้กุฏิ พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ โดยถูกสร้างเป็นวิหารขนาดความสูง 5 ชั้น รวมทั้งดาดฟ้า แต่ละชั้นมีการบันทึกเรื่องราวความเชื่อทางศาสนาพุทธ และ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ผ่านภาพปริศนาธรรมโดยฝีมือชาวบ้านอย่างสวยงาม
โดยการเข้าชมวิหารเทพวิทยาคมนั้น นายเจษฎาพงศ์ ศรีสุนทร หัวหน้าชุดรักษาความปลอดภัย (รปภ.) วิหารเทพวิทยาคม บอกว่า เนื่องจากในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวญาติโยม ศิษยานุศิษย์หลวงพ่อคูณจากทุกสารทิศทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาเข้าชมวิหารเป็นจำนวนมาก จึงต้องจัดระเบียบโดยให้มัคคุเทศก์ที่ผ่านการฝึกอบรมแล้วนำเข้าชมพร้อมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีความเข้าใจในเรื่องราวของวิหารเทพวิทยาคมและปริศนาธรรมในแต่ละจุดว่ามีความสำคัญและมีที่มาที่ไปอย่างไร
ส่วนกลุ่มผู้เข้าชมจะซื้อ “บัตรเติมบุญ” ซึ่งอยู่ด้านหน้า ราคาบัตรละ 100 บาทหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความพอใจและแรงศรัทธาของแต่ละคน ไม่ได้มีการบังคับให้ซื้อแต่อย่างใด และหากใครที่ซื้อไปแล้วมีศรัทธาอยากทำบุญเพิ่มก็สามารถเติมเงินในบัตรเติมบุญ ได้ตลอดเส้นทางรวม 6 จุด ซึ่งจะมีจุดแตะบัตรทำบุญแต่ละจุดแตกต่างกันไป ตั้งแต่จุดละ 30 บาท มีจำนวน 16 จุด จุดละ 100 บาท จำนวน 8 จุด เมื่อทำบุญแต่ละจุดก็จะได้ของที่ระลึกแตกต่างกันด้วย มีทั้งบัตรคาถา และวัตถุมงคลชนิดต่างๆ รวมถึงซองพลาสติกใสสำหรับใส่โฉนดที่ดินที่มีรูปภาพ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ สกรีนติดไว้ด้วย
“แต่หากใครที่ไม่มีศรัทธาจะทำบุญก็สามารถนำบัตรเติมบุญ หรือบัตรสมาร์ทการ์ด มาแลกเป็นเงินสดกลับคืนได้เท่าจำนวนเดิม ไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น” นายเจษฎาพงศ์กล่าว
ด้าน นายเกรียงไกร จารุทวี ผู้บริหารกิจการวิหารเทพวิทยาคม และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการวัดบ้านไร่ เปิดเผยว่า การทำบุญด้วยบัตรสมาร์ทการ์ดนี้ถือว่าเป็นกุศโลบายแบบใหม่ตามยุคสมัยที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน จัดทำขึ้นเพราะต้องการให้การทำบุญโปร่งใส ไม่มีการครหาว่ากรรมการจะยักยอกเงินทำบุญที่เกิดจากศรัทธาญาติโยม เหมือนที่เคยเป็นมา เพราะสามารถตรวจสอบยอดผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่วางไว้ ไม่ต้องไปเก็บเงินสดแต่ละจุด
การทำบุญลักษณะดังกล่าวยืนยันว่าไม่ได้บังคับ และไม่จำเป็นว่าจะต้องทำบุญด้วยบัตรสมาร์ทการ์ดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ภายในวิหารเทพวิทยาคมยังมีตู้บริจาคให้สามารถหยอดเงินทำบุญได้อีกหลายจุดเช่นกัน
สำหรับเงินที่ได้จากการทำบุญในส่วนของวิหารเทพวิทยาคมนั้น นายเกรียงไกรกล่าวว่า เงินทั้งหมดนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับรายได้ของวัดบ้านไร่ จึงไม่ต้องผ่านคณะกรรมการวัด เพราะเงินจำนวนนี้จะนำมาใช้จ่ายในส่วนของวิหารเทพวิทยาคมทั้งหมด ทั้งเรื่องการทำนุบำรุงรักษา ค่าน้ำค่าไฟ ค่าจ้างพนักงานประจำ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกจำนวนมาก โดยในแต่ละเดือนจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งพอๆ กับรายได้ที่ได้จากเงินบริจาค ทำบุญของประชาชน ประมาณเดือนละ 1 ล้านบาทเช่นกัน และเงินที่ได้ทั้งหมดจะรายงานต่อที่ประชุมวัดบ้านไร่โดยตลอด
“การนำเรื่องราวของวิหารเทพวิทยาคมและบัตรเติมบุญไปโพสต์ในโลกออนไลน์ในทางที่เสื่อมเสียหรือไม่เข้าใจเนื้อหาสาระที่แท้จริงนั้นอาจนำความเสียหายมาแก่วัดบ้านไร่ได้ ซึ่งความจริงแล้วน่าจะสอบถามให้ได้ข้อเท็จจริงเสียก่อน” นายเกรียงไกรกล่าวในที่สุด
จากกรณีที่มีผู้โพสต์ข้อความทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก เรื่อง “บัตรเติมบุญ” ของวิหารเทพวิทยาคม วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ว่าเป็นวิธีการทำบุญที่เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งได้รับความสนใจและกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในโลกสังคมออนไลน์และสื่อแขนงต่างๆ อยู่ในขณะนี้นั้น
ล่าสุดวันนี้ (19 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี “บัตรเติมบุญ” ที่มีลักษณะเป็นบัตรสมาร์ทการ์ด ของวิหารเทพวิทยาคม ซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำใกล้กุฏิ พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ โดยถูกสร้างเป็นวิหารขนาดความสูง 5 ชั้น รวมทั้งดาดฟ้า แต่ละชั้นมีการบันทึกเรื่องราวความเชื่อทางศาสนาพุทธ และ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ผ่านภาพปริศนาธรรมโดยฝีมือชาวบ้านอย่างสวยงาม
โดยการเข้าชมวิหารเทพวิทยาคมนั้น นายเจษฎาพงศ์ ศรีสุนทร หัวหน้าชุดรักษาความปลอดภัย (รปภ.) วิหารเทพวิทยาคม บอกว่า เนื่องจากในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวญาติโยม ศิษยานุศิษย์หลวงพ่อคูณจากทุกสารทิศทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาเข้าชมวิหารเป็นจำนวนมาก จึงต้องจัดระเบียบโดยให้มัคคุเทศก์ที่ผ่านการฝึกอบรมแล้วนำเข้าชมพร้อมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีความเข้าใจในเรื่องราวของวิหารเทพวิทยาคมและปริศนาธรรมในแต่ละจุดว่ามีความสำคัญและมีที่มาที่ไปอย่างไร
ส่วนกลุ่มผู้เข้าชมจะซื้อ “บัตรเติมบุญ” ซึ่งอยู่ด้านหน้า ราคาบัตรละ 100 บาทหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความพอใจและแรงศรัทธาของแต่ละคน ไม่ได้มีการบังคับให้ซื้อแต่อย่างใด และหากใครที่ซื้อไปแล้วมีศรัทธาอยากทำบุญเพิ่มก็สามารถเติมเงินในบัตรเติมบุญ ได้ตลอดเส้นทางรวม 6 จุด ซึ่งจะมีจุดแตะบัตรทำบุญแต่ละจุดแตกต่างกันไป ตั้งแต่จุดละ 30 บาท มีจำนวน 16 จุด จุดละ 100 บาท จำนวน 8 จุด เมื่อทำบุญแต่ละจุดก็จะได้ของที่ระลึกแตกต่างกันด้วย มีทั้งบัตรคาถา และวัตถุมงคลชนิดต่างๆ รวมถึงซองพลาสติกใสสำหรับใส่โฉนดที่ดินที่มีรูปภาพ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ สกรีนติดไว้ด้วย
“แต่หากใครที่ไม่มีศรัทธาจะทำบุญก็สามารถนำบัตรเติมบุญ หรือบัตรสมาร์ทการ์ด มาแลกเป็นเงินสดกลับคืนได้เท่าจำนวนเดิม ไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น” นายเจษฎาพงศ์กล่าว
ด้าน นายเกรียงไกร จารุทวี ผู้บริหารกิจการวิหารเทพวิทยาคม และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการวัดบ้านไร่ เปิดเผยว่า การทำบุญด้วยบัตรสมาร์ทการ์ดนี้ถือว่าเป็นกุศโลบายแบบใหม่ตามยุคสมัยที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน จัดทำขึ้นเพราะต้องการให้การทำบุญโปร่งใส ไม่มีการครหาว่ากรรมการจะยักยอกเงินทำบุญที่เกิดจากศรัทธาญาติโยม เหมือนที่เคยเป็นมา เพราะสามารถตรวจสอบยอดผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่วางไว้ ไม่ต้องไปเก็บเงินสดแต่ละจุด
การทำบุญลักษณะดังกล่าวยืนยันว่าไม่ได้บังคับ และไม่จำเป็นว่าจะต้องทำบุญด้วยบัตรสมาร์ทการ์ดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ภายในวิหารเทพวิทยาคมยังมีตู้บริจาคให้สามารถหยอดเงินทำบุญได้อีกหลายจุดเช่นกัน
สำหรับเงินที่ได้จากการทำบุญในส่วนของวิหารเทพวิทยาคมนั้น นายเกรียงไกรกล่าวว่า เงินทั้งหมดนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับรายได้ของวัดบ้านไร่ จึงไม่ต้องผ่านคณะกรรมการวัด เพราะเงินจำนวนนี้จะนำมาใช้จ่ายในส่วนของวิหารเทพวิทยาคมทั้งหมด ทั้งเรื่องการทำนุบำรุงรักษา ค่าน้ำค่าไฟ ค่าจ้างพนักงานประจำ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกจำนวนมาก โดยในแต่ละเดือนจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งพอๆ กับรายได้ที่ได้จากเงินบริจาค ทำบุญของประชาชน ประมาณเดือนละ 1 ล้านบาทเช่นกัน และเงินที่ได้ทั้งหมดจะรายงานต่อที่ประชุมวัดบ้านไร่โดยตลอด
“การนำเรื่องราวของวิหารเทพวิทยาคมและบัตรเติมบุญไปโพสต์ในโลกออนไลน์ในทางที่เสื่อมเสียหรือไม่เข้าใจเนื้อหาสาระที่แท้จริงนั้นอาจนำความเสียหายมาแก่วัดบ้านไร่ได้ ซึ่งความจริงแล้วน่าจะสอบถามให้ได้ข้อเท็จจริงเสียก่อน” นายเกรียงไกรกล่าวในที่สุด
