เชียงราย - “อนุพงษ์” ขึ้นเวทีหอฯ ไทย ยันพร้อมนำมหาดไทย ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจรับเออีซี ชี้หลัง “บิ๊กตู่” คุยจีนต่อยอดรถไฟจีน-ลาว-มาบตาพุด พร้อมเดินหน้าพัฒนาทวายเข้าไทยแล้ว อาจยังไม่พอ เล็งดันท่าเรือปากบาราต่อ ย้ำวันนี้ไม่สนคนของใคร ขรก.ต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน ขณะที่คนต้านตระเวนพ่นสีสัญลักษณ์ 3 นิ้วโผล่เพิ่มอีก
วันนี้ (22 พ.ย.) นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย ได้กล่าวสุนทรพจน์เปิดการสัมมนา “เปลี่ยนหัวคิด ก้าวไป สู่ชัยชนะ” ในการประชุมหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 37 ที่ จ.เชียงราย เป็นเจ้าภาพ ณ หอประชุมสมเด็จย่า มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง อ.เมืองเชียงราย โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 1,500 คน
นายอิสระ ได้นำตัวอย่างผู้ประกอบธุรกิจในภูมิภาคต่างๆ ที่ได้บากบั่นจากความยากลำบากจนประสบความสำเร็จในการพัฒนาสินค้าที่เป็นยี่ห้อของตัวเอง เช่น ข้าวตราไก่แจ้ ร้านของฝากพรทิพย์ ฯลฯ แสดงความมุ่งหวังให้หอการค้าทั่วประเทศได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภูมิภาคให้มีศักยภาพ โดยการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมเศรษฐกิจภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของหอการค้าไทยเองก็จำเป็นต้องกลับมาทบทวนบทบาทของตัวเอง ให้เป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือ มีข้อมูลที่ดี และมีความเป็นผู้นำทางความคิด นอกเหนือไปจากการยื่นข้อเสนอไปยังรัฐบาลเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต
ต่อมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “กระทรวงมหาดไทยกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค” มีเนื้อหาชื่นชมกลุ่ม YEC (Seed Entrepreneur Chamber of Commerce) กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ได้รวมตัวกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะผู้ประกอบการเหล่านี้เป็นต้นกล้าของหอการค้าไทย และหอการค้าไทย ก็จะเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจประเทศด้วย
โดยเฉพาะการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ซึ่งหลายประเทศพยายามมองว่า ประเทศตนเป็นศูนย์กลางด้านต่างๆ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว จะเห็นว่าเป็นศูนย์กลางหลายเรื่อง ทั้งศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ มีจังหวัดที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านรายรอบมากถึง 30 จังหวัด ดังนั้น การเชื่อมโยงจึงสำคัญ โดยเฉพาะระบบรางที่คำนวณว่า ใช้ต้นทุนต่ำกว่าระบบอื่น
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาจีนพยายามจะเชื่อมกับมหาสมุทรอินเดีย โดยผ่านประเทศไทย แต่ด้วยความล่าช้าจึงต้องหันไปเข้าทาง สปป.ลาว ปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้หารือกับจีนเพื่อเชื่อมโยงกับ จ.หนองคาย-แก่งคอย-มาบตาพุต แล้ว อีกเส้นทางคือเส้นทางจากท่าเรือทวาย ประเทศพม่าเข้าสู่ประเทศไทย อันจะทำให้เกิดเส้นทางขวางเชื่อมถึงกันอีกเส้นทางหนึ่ง
“ถามว่าการเชื่อมโยงเหล่านี้พอเพียงหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ไม่พอ และต้องใช้เวลาในการพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีด้านท่าเรือที่ต้องพัฒนาเชื่อมกัน ปัจจุบันท่าเรือปากบารา จ.สตูล เป็นที่น่าสนใจ เพราะไม่ใกล้กับท่าเรือทวายมากเกินไป”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า ด้านเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้น ทางกระทรวงมหาดไทย ถือว่าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องผังเมือง เพราะมีกรมโยธาธิการและผังเมืองในสังกัด ดังนั้น ในปี 2557-2558 นี้ กระทรวงจึงมุ่งจะใช้ผังเมืองร่วมขับเคลื่อนการพัฒนา เพราะถือว่าเรื่องผังเมืองมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจะช่วยกำหนดให้ได้ว่าจุดไหนควรจะก่อสร้างสิ่งใดต่อไป
“ที่ผ่านมา การเมืองถือว่ามีผลต่อการขับเคลื่อนต่างๆ คนนั้นเป็นของกลุ่มนี้ มาถึงตอนนี้ผมไม่สนใจ เพราะข้าราชการเราจะเน้นเรื่องการบูรณาการทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะในระดับภูมิภาคและจังหวัด ซึ่งมีพื้นฐานมาจากเรื่องการเกษตรและอุตสาหกรรมนั้น กระทรวงมหาดไทย จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อน แม้ว่างบประมาณรายจ่ายปี 2558 จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ผมจะขอมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ทางคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) ได้ขับเคลื่อนด้วย”
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ผู้บริหารภาครัฐ และเอกชนสามารถหารือกันใน กบจ.เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนา และพื้นฐานว่าพื้นที่นั้นๆ จะมีการพัฒนาอย่างไร เพื่อให้มีการขับเคลื่อนไปถึงงบประมาณปี 2559 ต่อไป
นอกจากนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ยังหยิบยกการพัฒนาในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ที่มีการสู้เพื่อการพัฒนาประเทศตนอย่างหนัก ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกันได้ระหว่างเรื่องความมั่นคงกับประชาธิปไตย เพราะเมื่อมีความมั่นคง และสงบ ก็สามารถพัฒนาต่อไปได้ หรือกรณีประเทศเวียดนาม ที่มีภูมิประเทศดี แรงงานราคาถูก ขาดเพียงโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ก็กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดกำลังซื้อ และต้องการซื้อสินค้าคุณภาพดี
พล.อ.อนุพงษ์ ยังเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายรักษาความมั่นคงภายใน เพื่อทำให้เกิดความมั่นคง และพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างการเดินทางมาร่วมเวทีประชุมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศของ พล.อ.อนุพงษ์ ครั้งนี้ แม้ว่าในเวทีที่หอประชุมสมเด็จย่าฯ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
แต่พื้นที่นอกสถานที่จัดการประชุมกลับมีความเคลื่อนไหวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังช่วงเช้าที่ผ่านมามีกลุ่มบุคคลนำสีไปพ่นข้อความต่อต้านรัฐประหาร-คสช.บริเวณถนนรอบค่ายเม็งรายมหาราช และหน้ามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มาแล้ว จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ได้ระดมกำลังกันออกตรวจตราเพิ่มเติมยังพบว่า มีการใช้สีสเปรย์พ่นตามป้ายข้างทาง ซึ่งมีเนื้อหาต่อต้าน คสช.และรัฐประหาร เช่นกัน แต่ไม่พบตัวคนที่ลงมือ เจ้าหน้าที่จึงทำการลบข้อความดังกล่าว