กาฬสินธุ์ - โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนกลางขอความร่วมมือสถานีสูบน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชีกว่า 200 แห่ง งดสูบน้ำช่วงหน้าแล้ง แนะเกษตรกรควรงดปลูกข้าวนาปรัง หลังแม่น้ำชีส่อเค้าวิกฤตแล้งหนักในรอบหลายปี เนื่องจากปริมาณฝนตกในพื้นที่ต้นน้ำจังหวัดชัยภูมิและเขื่อนอุบลรัตน์ต่ำกว่าเกณฑ์
จากสถานการณ์แม่น้ำชีที่ส่อเค้าวิกฤตแล้งรุนแรงในรอบหลายปี เหตุปริมาณฝนที่ตกลงมาในพื้นที่ต้นน้ำที่จังหวัดชัยภูมิและพื้นที่รอบเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น น้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ส่งผลให้ปัจจุบันปริมาณน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว และกำลังจะประสบภัยแล้งเร็วกว่าปกติ 2 เดือน คาดว่าแม่น้ำชีจะแห้งขอดรุนแรงกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา และจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปรัง เนื่องจากปริมาณน้ำในแม่น้ำชีจะไม่เพียงพอ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ต้องสงวนน้ำไว้ใช้ในการอุปโภค บริโภคเป็นหลัก
ล่าสุดวันนี้ (10 พ.ย.) นายเกริกกรุง สุภัควนิช ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนกลาง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปริมาณน้ำในแม่น้ำชีที่ไหลผ่านเขื่อนต่างๆ ทั้ง 4 แห่ง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนกลาง ประกอบด้วย ฝ่ายชนบท จ.ขอนแก่น ฝ่ายมหาสารคาม จ.มหาสารคาม ฝ่ายวังยาง จ.กาฬสินธุ์ และฝ่ายร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด มีปริมาณน้ำเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์อย่างมากนั้น
ทางอธิบดีกรมชลประทานจึงได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนและหน่วยงานราชการในพื้นที่ ซึ่งต่อไปเจ้าหน้าที่จะมีการเข้าหารือกับคณะกรรมการน้ำจังหวัดต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนกลางทุกจังหวัด
ทั้งนี้ เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรเข้าใจในสถานการณ์ โดยเฉพาะสถานีสูบน้ำ หรือแพสูบน้ำ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชีที่มีอยู่กว่า 200 สถานี ระยะทางกว่า 300 กม.ต้องขอความร่วมมือให้งดทำการสูบน้ำเพื่อไปทำนาปรังโดยเด็ดขาด และต้องเร่งรณรงค์ให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน
เนื่องจากเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องสงวนน้ำเอาไว้ใช้อุปโภคบริโภคเป็นหลักก่อน ซึ่งหากต่างคนต่างสูบทั้ง 200 สถานีน้ำเชื่อว่าจะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในช่วงหน้าแล้งนี้แน่นอน
