ศูนย์ข่าวศรีราชา - นายกเมืองพัทยา แถลงหลังเจอกระแสต้านคอนโดฯ ยักษ์กลางเมืองพัทยา ยอมรับสร้างท่าเรือพัทยาใต้ ผลพลอยได้ตกแก่เอกชน แต่ทำตามขั้นตอนกฎหมาย เผยพบก่อสร้างผิดแบบสั่งระงับด่วน หากยังดื้อแพ่งพร้อมดำเนินคดีในชั้นศาล
จากกรณีการก่อสร้างคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ ความสูงกว่า 50 ชั้น ริมเชิงเขา สทร.5 พัทยา ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ในชื่อ “Waterfront Suites & Residence Pattaya” ที่กำลังถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยส่วนใหญ่ระบุร้องขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบอาคารดังกล่าว ผ่านทางเว็บไซต์ change.org เนื่องจากเห็นว่าห่างจากทะเลไม่เกิน 100 เมตร ซึ่งขัดต่อประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่ อ.บางละมุง และ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พ.ศ.2553
ที่สำคัญ ความสูงกว่า 50 ชั้น ส่งผลให้ชาวพัทยาส่วนใหญ่ต่อต้าน เนื่องจากบดบังสภาพภูมิทัศน์บริเวณหน้าอ่าวพัทยา และป้าย Pattaya City ที่เมืองพัทยาสนับสนุนเงินหลายสิบล้านบาทเทำให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญด้านการท่องเที่ยว อีกทั้งโครงสร้างอาคารยังบดบังบริเวณด้านหน้าของพระบรมราชานุสาวรีย์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ บนเขา สทร.5 พัทยา ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน
ล่าสุด นายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เปิดแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง โดยมีสื่อมวลชนข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง โดยระบุว่า โครงการนี้ได้รับความสนใจจากสังคมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกรณีความถูกต้องในการอนุญาติการก่อสร้างอาคารสูง และการบดบังภูมิทัศน์ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งข้อเท็จจริงโครงการนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2547 โดยริษัท บาลีฮาย จำกัด ในที่ดิน 7 แปลง รวม 2-1-63 ไร่
โดยมีแผนการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยขนาดใหญ่ 1 อาคาร ห้องพัก 315 ห้อง พื้นที่ใช้สอย 38,500 ตารางเมตร ความสูง 53 ชั้น ซึ่งตามกฎหมายต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จึงได้ว่าจ้างบริษัท ไท ไท วิศวกร จำกัด ดำเนินการ เนื่องจากเป็นอาคารขนาดใหญ่เกินกว่า 80 ห้อง สูงกว่า 23 ชั้น และมีพื้นที่ใช้สอยเกินกว่า 10,000 ตารางเมตร รวมทั้งต้องอยู่ห่างจากชายทะเลในระยะ 100 เมตร
กรณีนี้จะต้องมีการตรวจสอบเรื่องโครงสร้าง ระบบสาธารณูปโภค และข้อกำหนดตามกฎหมาย กระทั่ง สผ.ได้มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณาระดับจังหวัด มีอำนาจในการพิจารณาโครงการได้ ซึ่งขั้นตอนนี้เมืองพัทยาเได้เคยทักท้วงว่าการก่อสร้างอาจไปบดบังสภาพภูมิทัศน์ แต่สุดท้ายก็มีการพิจารณาเห็นชอบให้ก่อสร้างโครงการได้ช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2551
นายอิทธิพล กล่าวว่า หลังผ่านความเห็นชอบจาก สผ. ภาคเอกชนก็ยื่นเรื่องขออนุญาตก่อสร้างอย่างเป็นทางการ จึงได้นำเรื่องมาตรวจสอบตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร การจดทะเบียน ผู้ควบคุม ผังเมือง ซึ่งพบว่า เป็นพื้นที่สีแดง หรือเขตพาณิชยกรรม จึงออกใบอนุญาตให้ในปีเดียวกัน และมีการต่อใบอนุญาตเนื่องจากโครงการยังไม่แล้วเสร็จจนถึงวันที่ 6 กันยายน 2557
“ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ต้องทำตามขั้นตอน เพราะขออนุญาตอย่างถูกต้อง ขั้นตอนทุกอย่างเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย โปร่งใส ไม่มีการเอื้อประโยชน์แก่ภาคเอกชนแต่อย่างใด พร้อมให้ทุกหน่วยงานเข้าตรวจสอบเต็มที่เรื่องบดบังสภาพภูมิทัศน์เชิงเขา และพระบรมราชานุสาวรีย์ เป็นเรื่องที่เมืองพัทยาเข้าใจ และไม่อยากให้เกิดขึ้น ซึ่งเก็เคยทักท้วงไปแล้ว แต่เมื่อ สผ.ความเห็นชอบ และดำเนินทุกขั้นตอนตามกฎหมาย ก็ต้องทำไปตามอำนาจหน้าที่ แต่ได้มอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้อง และผู้ชำนาญการศึกษาแนวทางการปรับภูมิสถาปัตย์ เพื่อให้เกิดความสอดคล้องต่อสถานที่ ไม่บดบังจนเป็นที่น่ารังเกียจ”
ส่วนกรณีของที่ดินเดิมมีสภาพติดกับแนวชายฝั่ง ทำให้ไม่สามารถออนุญาตปลูกสร้างอาคารขนาดใหญ่ได้นั้น กรณีดังกล่าวเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย ที่ห้ามก่อสร้างอาคารติดแนวชายฝั่ง แต่ที่ผ่านมา กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้อนุมัติงบประมาณก่อสร้างท่าเทียบเรือพัทยาใต้ ในพื้นที่ 12 ไร่ ทำให้แนวหน้าโฉนดที่ดินของโครงการ มีลานอเนกประสงค์ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้แนวระดับน้ำทะเลห่างออกไปในระยะนับ 100 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่ทางภาคเอกชนได้ประโยชน์จากโครงการนี้ จนสามารถขออนุญาตปลูกสร้างอาคารสูงได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเมืองพัทยา ได้ออกคำสั่ง ค.5 ค.6 และ ค.11 พร้อมแจ้งความดำเนินคดีต่อสภ.เมืองพัทยา ให้โครงการดังกล่าวระงับการก่อสร้างไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2557 เป็นเวลา 45 วัน เนื่องจากตรวจพบว่า มีการก่อสร้างอาคารผิดรูปแบบจากที่ขออนุญาตไว้ต่อทาง สผ. ในเรื่องของบันไดหนีไฟ และช่องลิฟต์ในตัวอาคาร ซึ่งเรื่องนี้อกชนต้องทำการปรับปรุง และแก้ไขโดยด่วน เพื่อให้เป็นไปตามการขออนุญาต แต่หากยังคงฝ่าฝืนก็ถือว่าผิดแบบจากการขออนุญาต และจะส่งเรื่องฟ้องร้องต่อศาลเพื่อรื้อถอนต่อไป
“การชี้แจงในโครงการนี้ก็เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ว่าทุกขั้นตอนเป็นไปตามกฎหมาย มีการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด แต่เมื่อมีกระแสสังคมเกิดขึ้นก็ต้องมาทำการชี้แจง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง”